วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ย้อนรอยกำเนิดโลก


มหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกสมัยดึกดำบรรพ์มนุษย์จะมองโลกทุกๆด้านเป็นสิ่งน่าฉงนสนเท่ห์ และแปลกประหลาดไปทั้งหมด ไม่ว่าจะแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า หรือมองดูสภาวการณ์รอบๆตัว จะพบแต่สิ่งเร้นลับของปรากฎการณ์ต่างๆทั้งสิ้น มนุษย์จึงได้เริ่มยุคของการเสาะแสวงหาความจริงเกี่ยวกับความลึกลับของโลกนี้ตลอดมา และชั่วระยะเวลาอันไม่นานมนุษย์ก็สามารถศึกษาเรื่องราวต่างๆ และเข้าใจถูกต้องมากขึ้น ทั้งนี้นับว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่งของชีวิตมนุษย์ ที่มีกระบวนการพัฒนาการเจริญก้าวหน้าได้รวดเร็วยิ่งกว่าสัตว์ทั้งหลาย

เริ่มแรกของการสังเกตเกี่ยวกับโลกและท้องฟ้า ซึ่งปัจจุบันเรายังไม่ทราบแน่ชัดว่า เขาเหล่านั้นมีความเห็นและความรู้สึกไปในทำนองใดหรือด้านใด บางทีอาจจะมองพื้นดินและท้องฟ้า เช่นเดียวกับชาวอียิปต์โบราณ ที่ให้ความคิดว่าโลกนี้เป็นห้องใหญ่ห้องหนึ่ง แผ่นดินเป็นพื้นของห้อง ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่เป็นเพด้านที่ค้ำไว้ด้วยเสาใหญ่ 4 ต้น และแขวนไว้ด้วยอำนาจประหลาดของพระเจ้า มีดวงดาวที่ทอแสงระยิบระยับเป็นตะเกียง ดังนี้ก็อาจเป็นได้

แต่ในปัจจุบันนี้ ข้อเท็จจริงและการค้นคว้าตรวจสอบ เป็นที่รับรองต้องกันแล้วว่าโลกมิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล หากเป็นดาวเคราะห์และเป็นบริวารดวงหนึ่งของดวงอาทิตย์ และแม้ดวงอาทิตย์เองก็มิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลทั้งหมด เป็นเพียงกลุ่มดาวเล็กๆ เท่านั้น ในจำนวนกลุ่มดาวทั้งหลายที่เรามองเห็นเป็นแถบ อยู่ในท้องฟ้าเป็นแถบหนาพาดไปตามท้องฟ้านั้น ส่วนที่หนาแน่นที่สุด และเห็นได้ชัดเจนที่สุด เรียกว่า ทางช้างเผือก (Milky Way)
นอกจากนั้น เรายังรู้ต่อไปอีกว่า โลกนี้มิได้หยุดนิ่งกับที่ แต่หมุนไปรอบๆดวงอาทิตย์คล้ายลูกข่าง ด้วยความเร็ว 1000 ไมล์ต่อชั่วโมง ที่บริเวณเส้นศูนย์สูตร และยังโคจรเป็นรูปวงรี ด้วยความเร็ว 20 ไมล์ต่อวินาที เพราะการหมุนเวียนรอบตัวเอง และความหนาแน่นของโลกเป็นเหตุที่ทำให้โลกเกิดแรงดึงดูดขึ้น ที่เราเรียกว่า แรงโน้มถ่วงของโลก (Gravity) นั่นเอง ซึ่งเพราะอำนาจของแรงโน้มถ่วงของโลกนี้เองที่ทำให้สรรพสิ่งต่างๆ คงอยู่ในโลกนี้ ไม่หลุดกระเด็นออกไปนอกโลก

โลกเรานี้เป็นเพียงเพียงวัตถุส่วนหนึ่งของจักรวาลเท่านั้น แต่มีลักษณะพิเศษไปกว่าส่วนอื่นๆของจักรวาลนี้ เพราะในระบบสุริยะจักรวาล บางส่วนมีอุณหภูมิถึง 3 ล้าน 5 แสน องศาฟาเรนไฮต์ และบางส่วนที่ว่างเปล่าเย็นเยือกมีอุณหภูมิต่ำถึง - 459 องศาฟาเรนไฮต์ แต่ทว่าโลกเรานี้มีอุณหภูมิและส่วนประกอบอื่นๆที่เหมาะสม ทำให้ชีวิตอุบัติขึ้นมาได้ ในรูปร่างของพืช สัตว์ และมนุษย์ ในส่วนหนึ่งของชีวิตเหล่านี้ ชีวิตที่พัฒนาการขึ้นมาเป็นมนุษย์นับว่าเป็นสิ่งที่เจริญถึงขั้นที่สุด การเกิดของโลก ของสภาวะแวดล้อม ของชีวิตตั้งแต่เล็กที่สุดขึ้นมาจนถึงมนุษย์นั้น กว่าจะสำเร็จมาได้แต่ละขั้นนั้น ต้องเสียเวลานานและเต็มไปด้วยความซับซ้อนอย่างยิ่ง


กำเนิดสุริยะจักรวาลตามแนวทางการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ ปรากฎว่าราว 5 พันล้านปีล่วงมาแล้ว ภายในอวกาศมีกลุ่มก๊าซและยังมีหมอกเพลิงอยู่ทั่วไป อาศัยแรงแห่งความโน้มถ่วงและความกดดัน สืบเนื่องมาจากกลุ่มก๊าซภายนอกกลุ่มอื่นๆผลักดันให้กลุ่มก๊าซและหมอกเพลิงเหล่านั้นรวมตัวกันเข้า และค่อยๆหมุนรอบตัวเองด้วยอัตราความเร็วเพิ่มขึ้นทุกที เมื่อกลุ่มของก๊าซและหมอกเพลิงรวมตัวกันหนาแน่นมากขึ้น มีอัตราเร็วของการหมุนมากขึ้น อุณหภูมิก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นด้วย จนในที่สุดก็เป็นดาวฤกษ์ที่มีระดับความร้อนสูงและมีแสงสว่างสดใส บางกลุ่มอาจจับกลุ่มกันมากกว่าสองขึ้นไป แต่บางกลุ่มก็อยู่โดดเดี่ยว เช่นดวงอาทิตย์ของเราเป็นต้น



การเกิดแผ่นดินและทวีปเมื่อแรกแตกตัวออกมาจากดวงอาทิตย์นั้น ลูกโลกก็มีลักษณะเป็นดังกลุ่มหมอกเพลิง เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ และก็เคลื่อนที่ไปตามวงโคจรของมันรอบดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นศูนย์กลาง เนื่องจากมีขนาดเล็กกว่าจึงเย็นตัวเร็วกว่าดวงอาทิตย์ และในขณะที่เกิดการเย็นตัวนี้เอง สารที่เป็นส่วนประกอบพวกใดที่มีความหนาแน่นมากกว่า ก็จมลงไปอยู่ในใจกลางลูกกลมๆที่จะกลายเป็นโลก ส่วนที่เบากว่าก็เป็นองค์ประกอบอยู่ภายนอก และจากภายในก็มีไอน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์พุ่งขึ้นมาพร้อมกับก๊าซอย่างอื่น ทำให้เกิดบรรยากาศห่อหุ้มโลก

นานแสนนานต่อมา ผิวโลกเย็นตัวลงอย่างช้าๆ และอาจกินเวลานานนับล้านๆปีที่ความร้อนภายใน ค่อยแผ่กระจายขึ้นไปภายนอก วัตถุที่หลอมละลายอยู่ข้างในก็พวยพุ่งออกมาภายนอก ในขณะที่มันเย็นตัวลงไปอีก แต่เพราะมีน้ำหนักมากก็เลื่อนตกกลับลงไปในส่วนลึกของมันอีก และส่วนภายในนั้นร้อนแรงและยังคงคุโชนอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้

ดังนั้นภายในโลกจึงอาจจะเป็นแร่ธาตุที่หลอมเหลวและร้อนระอุอยู่ และมีขนาดมหึมา เส้นผ่าศูนย์กลางเฉพาะส่วนที่หลอมเหลวยาวถึง 4500 ไมล์ และมีอุณหภูมิที่ราวๆ 5000 องศาฟาเรนไฮต์ ซึ่งเป็นความร้อนที่เกือบเท่าๆ กับความร้อนของผิวดวงอาทิตย์ ธาตุที่หลอมเหลวนี้จัดเป็นผิวโลกชั้นในที่เรียกว่าเสื้อคลุมชั้นใน อาจหนาถึง 1800 ไมล์ ประกอบด้วยหิน ธาตุเหล็ก และโลหะอย่างอื่นๆปนอยู่อีกมาก
เสื้อคลุมชั้นใน อาจหนาถึง 1800 ไมล์ ประกอบด้วยหิน ธาตุเหล็ก และโลหะอย่างอื่นๆปนอยู่อีกมาก

รอบๆ เสื้อคลุมชั้นในนี้ กลายเป็นชั้นบางๆของผิวโลก ถ้าเปรียบโลกทั้งใบเป็นดังผลแอปเปิล ผิวชั้นนี้ก็ไม่หนาไปกว่าผิวแอปเปิลเลย ชั้นล่างของชั้นหินนี้เป็นหินที่เราพบในลักษณะของลาวา ซึ่งภูเขาไฟพ่นออกประมาณว่าเปลือกนี้หนาถึง 20 ไมล์ ชั้นล่างสุดของผิวนี้เป็นท้องมหาสมุทรและทะเล ส่วนที่สูงขึ้นมาก็เป็นพื้นผิวของทวีปซึ่งกลายเป็นภูเขา แผ่นดิน และเนื้อเปลือกโลกชั้นนอกสุด อันเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย

เริ่มแรกที่ทวีปเกิดขึ้นใหม่ๆนั้น มีลักษณะน่ากลัวมาก เพราะขณะนั้นผิวโลก และภายในยังคงร้อนระอุอยู่ จึงมีเปลวไฟ กลุ่มก๊าซที่ร้อนจัด และหมอกควันระเบิดพวยพุ่งขึ้นมาเป็นแห่งๆ บางทีก็มีลาวาที่ประกอบด้วยหินละลายเหลวไหลขึ้นมาเป็นทะเลเพลิง ซึ่งในทะเลเพลิงของลาวานี้ก็มีหินแกรนิตมหึมาผุดลอยขึ้นมาด้วย เมื่อเย็นลงก็มีหินละลายส่วนอื่นๆจัลเกาะเพิ่มเติมให้หนาออกไปเรื่อยๆ และในบางส่วนผิวนอกเย็นตัวเกาะเป็นของแข็ง แต่บางส่วนภายในที่ยังเดือดอยู่ก็ผลักดันให้ปูดนูนขึ้นภายนอก

ไม่มีใครทราบแน่นอนว่าส่วนของทวีปในโลกนี้ เกิดขึ้นในบริเวณไหนก่อน อาจเกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน ในหลายๆแห่ง แล้วค่อยๆแปรสภาพไปทีละขั้นตอน ตามอำนาจของการเปลี่ยนแปลงของโลก จนมีสภาพกลายเป็นทวีปต่างๆ และทุกวันนี้ผิวโลกส่วนที่เป็นทวีปนี้ ก็ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ช้าลงเท่านั้น



การเกิดน้ำเมื่อผิวโลกร้อนอยู่นั้น ถูกห่อหุ้มด้วยกลุ่มเมฆหมอกของก๊าซต่างๆ ซึ่งอาจจะกินเวลานานนับล้านปีที่เมฆหมอกเหล่านี้ปกคุมโลกอยู่ ต่อมาเมฆหมอกและก๊าซก็ค่อยๆเย็นตัวลงตามลำดับ การรวมตัวของก๊าซบางอย่างที่พอเหมาะกับXส่วน ทำให้เกิดละอองไอน้ำลอยขึ้นไปในอากาศ เมื่อเย็นลงก็จับตัวกันเป็นหยดน้ำและตกลงมาเป็นฝน เมื่อฝนตกลงมากระทบผิวโลกที่ยังร้อนอยู่ก็กลายเป็นไอน้ำ ลอยขึ้นไปรวมตัวกันเป็นเมฆดำและเป็นฝนตกลงมาอีก เมื่อผิวโลกเย็นตัวลง ฝนที่ตกลงมาก็ตกค้างเหลืออยู่บนผิวโลกบ้าง ระเหย กลับขึ้นไปอีกบ้าง ครั้นฝนตกลงมาเรื่อยๆ นับเป็นเวลาล้านๆปี อำนาจของน้ำฝนที่ตกลงมาในที่สูงของแผ่นดิน ซึ่งต่อมาเราเรียกว่าภูเขานั้นก็จะไหลลงสู่ที่ต่ำเบื้องล่าง และขังอยู่ตามแอ่งของผิงโลกคล้ายกับสระน้ำมหึมา เมื่อฝนค่อยๆเบาบางลงเมฆหมอกก็เริ่มจางลง น้ำฝนที่ตกลงมาสะสมมากขึ้นก็ทำให้เกิดเป็นมหาสมุทร

เวลาได้ผ่านไปอีกหลายล้านปีกว่าผิวโลก มหาสมุทร และทะเลต่างๆ จะปรากฎออกมาอย่างที่ได้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ นับแต่ยุคฝนตกใหญ่ และมีน้ำท่วมผิวโลก ทำให้ผิวโลกมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอีกเรื่อยมา ทำให้บางส่วนที่เคยเป็นพื้นดินยุบตัวลึกลงเป็นทะเลหรือมหาสมุทรไป และส่วนที่เคยจมน้ำอยู่บางส่วนถูกกดดันให้ปูดนูนสูงขึ้นมาพ้นน้ำบ้าง ริมแผ่นดินที่จรดขอบน้ำอันเป็นฝั่งทะเลหรือฝั่งมหาสมุทร ก็เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ทำให้มีลักษณะเว้าแหว่งดังเช่นที่เห็นอยู่ทุกวันนี้


การเกิดภูเขาเมื่อภายในโลกเย็นตัวลง และมีการยุบตัวลงอีกที่ผิวนอก และเกิดรอยย่นเพราะการเปลี่ยนแปลงของความกดดันของโลกภายใน จึงทำให้เกิดภูเขาสูงและหุบเหวลึกขึ้นในส่วนต่างๆ ฝนที่ตกลงมาผสมกับก๊าซบางอย่างในอากาศ ทำให้มีสภาวะเป็นกรด กร่อนและเซาะภูเขาให้เว้าแหว่ง หลุดเลื่อนลงไปยังส่วนที่ต่ำที่สุด และเมื่อฝนตกลงมาอีก ก็ชะเอาส่วนที่สึกกร่อนอันประกอบไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ และสอ่งอื่นๆไปด้วย แร่ธาตุและเกลือเหล่านี้จะลงไปสะสมอยู่ในทะเลมากขึ้นจนทำให้น้ำมีรสเค็ม และเนื่องจากน้ำเป็นของเหลว เมื่อถูกความร้อนหรือได้รับแรงดึงดูดจากดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ ก็เกิดปรากฎการณ์เอ่อนูนและลดต่ำ เป็นน้ำขึ้นน้ำลง และมีกระแสน้ำหมุนเวียน ทำให้ผิวโลกถูกทำลายให้เปลี่ยนแปลงลักษณะอยู่ตลอดเวลา

เทือกเขาที่โผล่สูงขึ้นมาก็เกิดพังลงเพราะอำนาจของแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟ ในขณะที่ผิวไลกเกิดการหดตัว ผิวโลกบางส่วนที่เป็นของแข็งก็แตกร้าวเป็นร่องกว้าง ทำให้หินเลื่อนมากระทบกัน และก็มีไม่น้อยที่ชั้นของหินถูกแรงกดดันภายในโลกดันให้โผล่ขึ้นมาจากมหาสมุทร ทำให้เกิดเป็นเกาะหรือทวีป

การเคลื่อนที่ทันทีทันใด เกี่ยวกับการหดตัวของผิวโลก และหินเลื่อนกระทบกัน หรือหินเดือดภายในโกลกดดัน ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้น แร่ธาตุที่ร้อนจัดละลายอยู่ภายในของโลกก็พุ่งขึ้นมาตามรอยร้าวของหิน พ่นเอาก๊าซ และลาวาขึ้นมาด้วย เกิดเป็นภูเขาไฟ จึงมาลาวาปกคลุมผิวโลกอยู่ และนานนับล้านปีจึงจะสึกกร่อนกลายเป็นแผ่นดินไปได้บ้าง ลักษณะเช่นนี้จะเห็นได้จากพื้นที่จำนวนหลายแสนตารางไมล์ ทางบริเวณตะวันตกของประเทศแคนาดาปัจจุบัน ที่ปกคลุมด้วยหินลาวาและเกิดเป็นเทือกเขา ลอเรนเตียนส์ให้เห็นจนทุกวันนี้
ลอเรนเตียนส์ให้เห็นจนทุกวันนี้

เทือกเขาสูงๆ ทั้งหลายบนโลก เช่น เทือกเขาหิมาลัย เทือกเขาร็อกกี้ เทือกเขาแอล์ป และเทือกเขาแอนดีส ก็เกิดขึ้นในยุคนี้ เทือกเขาหิมาลัยและเทือกเขาบางลูก ยังปรากฎ
ให้เห็นอยู่ว่าถูกผลักดันให้สูงขึ้นเรื่อยๆจนทุกวันนี้ไม่ถึงล้านปีมานี้เอง ภูเขาแคสเคดที่อยู่ทางด้านตะวันออกของสหรัฐฯ ได้โผล่ขึ้นมาจากทะเล ด้วยอำนาจของการระเบิดของภูเขาไฟในบริเวณนั้น การระเบิดในส่วนอื่นๆของโลกทำให้เกิดภูเขาไม่น้อย แม้ในยุคประวัติศาสตร์ ก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่ในหลายแห่ง

การเกิดของภูเขา ทำให้ผิวโลกเปลี่ยนแปลงไป และยังมีส่วนสำคัญที่ทำให้ชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกอยู่ในยุคนั้นเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ทำให้เกิดสภาพเหมาะสมที่ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้น ทำให้โลกพัฒนาการมาได้อย่างน่าประหลาด



ยุคธารน้ำแข็งทุกวันนี้โดยสภาพของธรรมชาติ โลกเรายังคงอยู่ในยุคของน้ำแข็ง เพราะขั้วโลกทั้งสองยังคงปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งเป็นบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล ตามยอดเขาสูงๆก็ปกคลุมไปด้วยหิมะ ถ้าปราศจากความร้อนที่โลกได้รับจากดวงอาทิตย์แลัว ผิวโลกทั้งหมดจะถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งอย่างสิ้นเชิง

โลกเปลี่ยนแปลงเข้ามาอยู่ในยุคน้ำแข็งเป็นเวลาหลายพันล้านปี ตามทางการสำรวจของนักวิทยาศาสตร์พบว่า แต่เดิมเมื่อชีวิตเกิดขึ้นมา และพัฒนาการเป็นพืชและสัตว์นั้น หน่วยของชีวิตเหล่านี้อาศัยอยู่ทั่วๆไป แม้ตามส่วนที่เป็นขั้วโลก แต่เมื่อเกิดยุคน้ำแข็งขึ้นมา น้ำแข็งก็ได้ผลักดันสิ่งมีชีวิตทั้งหลายให้ถอยร่นลงมายังส่วนที่อบอุ่นของโลก ซึ่งเป็นบริเวณถัดลงมาจากขั้วโลกทั้งสอง และบริเวณส่วนกลางของโลกซึ่งเรียกว่า เส้นศูนย์สูตร

น้ำแข็งเกิดมาได้ด้วยสาเหตุหลายปรพการด้วยกัน เช่น ภูเขาที่เกิดขึ้นใหม่เพราะอำนาจผลักดันจากส่วนภายในของโลก อาจปิดกั้นทางลมร้อนที่พัดไป ทำให้แผ่นดินเบื้องหลังเย็นตัวลง ขี้เถ้าจากการระเบิดของภูเขาไฟซึ่งมีอยู่ทั่วไปในขณะนั้น อาจจับกลุ่มเป็นเมฆหนาทึบปิดบังแสงแดดที่ส่องลงมายังผิวโลก เมื่อความร้อนที่ได้รับจากดวงอาทิตย์มีน้องลง อุณหภูมิของอากาศก็ลดต่ำลง ทำให้ไอน้ำเกาะรวมตัวกันเป็นหยดน้ำ และกลายเป็นน้ำแข็งปกคลุมไปทั่ว

ยุคน้ำแข็งได้ปกคลุมผิวโลกอยู่เป็นเวลานานเป็นล้านปี ผิวโลกเกือบหนึ่งในสี่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เมื่อเมฆเริ่มจางลงและผิวโลกได้รับแสงแดดดและความร้อนจากดวงอาทิตย์มากขึ้น น้ำแข็งก็ละลายบ้าง กลับเกิดขึ้นมาอีกบ้าง กลับไปกลับมาหลายครั้ง การละลายครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้นไปเมื่อประมาณ 10000 ปี มานี้เอง ทำให้บริเวณที่ยังปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งเลื่อนขึ้นไปอยู่ที่ขั้วโลกทั้งสอง เพราะแถบนั้นได้รับแสงแดดและความร้อนจากดวงอาทิตย์ทางเฉียง จึงมีอุณหภูมต่ำ อยู่ในระดับที่ยังมีน้ำแข็งปกคลุมอยู่ได้ ประมาณกันว่าที่ขั้วโลกทั้งสองมีน้ำแข็งปกคลุมอยู่ถึง 5000000 ลูกบาศก์ไมล์ นอกจากนี้น้ำแข็งยังปกคลุมอยู่ในอลาสกา นิวซีแลนด์ และในประเทศแถบคาบสมุทรสแกนดิเวเนีย กับตามเทือกเขาสูงๆ เช่น เทือกเขาหิมาลัยและเทือกเขาแอลป์ เป็นต้น สำหรับน้ำแห็งที่เกิดขึ้นในแถบขั้วโลกทั้งสองนั้นมีเกิดขึ้นและละลายไปเป็นปีๆ

การที่เกิดยุคน้ำแข็งแล้วน้ำแข็งละลายไหลเลื่อนลงมาสู่ที่ต่ำกว่านั้น ทำให้ผิวโลกยุคนั้นเต็มไปด้วยธารน้ำแข็งอยู่ทั่วไป ธารน้ำแข็งนี้มีอำนาจสำคัญยิ่ง ในการสึกกร่อนผิวโลกให้เปี่ยนแปลงไปได้อย่างมากมาย

นับเวลาต่อมาเป็นพันๆปี อากาศที่ห่อหุ้มโลกจึงมีอุณหภูมิต่ำลง ขณะเดียวกันที่น้ำแข็งปกคลุมผิวโลกละลาย ก็ทำให้ระดับน้ำในมหาสมุทรเพิ่อสูงขึ้นทีละน้อยๆไ สำหรับยุคปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาศตร์คำนวนว่า ถ้าน้ำแข็งในที่ต่างๆของโลกละลายหมด จะทำให้น้ำในมหาสมุทรสูงขึ้นมากกว่า 100 ฟุต




อนาคตของโลกความจริงโลกเราทุกวันนี้ยังนับว่ามีอายุน้อยมาก เพราะในกาลต่อไปโลกอาจจะยั่งยืนอยู่คู่ดวงอาทิตย์ ซึ่งต้องนับเวลาเป็นนับพันล้านๆ ปี นอกจากจะเกิดเหตุทำให้แตกสลายไปเสียก่อนเท่านั้น เช่นอาจะมีดาวดวงอื่นพุ่งมาชน ถ้ามิเช่นนั้นแล้วกว่าจะเกิดการวิบัติลงไปได้ต้องกินเวลานานแสนนาน บางทีอาจจะสัก 10 พันล้านปีต่อไป ก๊าซไฮโดเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของดวงอาทิตย์จะมีปริมาณน้อยลง เป็นเหตุให้ดวงอาทิตย์พองโตขึ้นและหมุนเร็วยิ่งขึ้น และกลายเป็น ดาวฤกษ์ยักษ์แดง (Red Giant) ไป และมีขนาดใหญ่กว่าเดิมหลายสิบเท่า เปลือกนอกของดวงอาทิตย์ที่พองออกมาจะเข้าใกล้โลกมากขึ้น ทำให้โลกได้รับความร้อนมากขึ้นอีก จนอาจจะทำให้น้ำในมหาสมุทรระเหยขึ้นไปในอากาศ ทำให้น้ำในมหาสมุทรแห้งขอด บรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกก็จะร้อนจัด และพองตัวหนีออกไปนอกอวกาศอันเวิ้งว้าง ชีวิตในโลกจะสิ้นไป แสงสีแดงจะปกคุมไปทั่ว และเต็มไปด้วยความร้อนระอุ เช่นเดียวกับเมื่อตอนเกิดโลกดาวฤกษ์ยักษ์แดง (Red Giant) ไป และมีขนาดใหญ่กว่าเดิมหลายสิบเท่า เปลือกนอกของดวงอาทิตย์ที่พองออกมาจะเข้าใกล้โลกมากขึ้น ทำให้โลกได้รับความร้อนมากขึ้นอีก จนอาจจะทำให้น้ำในมหาสมุทรระเหยขึ้นไปในอากาศ ทำให้น้ำในมหาสมุทรแห้งขอด บรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกก็จะร้อนจัด และพองตัวหนีออกไปนอกอวกาศอันเวิ้งว้าง ชีวิตในโลกจะสิ้นไป แสงสีแดงจะปกคุมไปทั่ว และเต็มไปด้วยความร้อนระอุ เช่นเดียวกับเมื่อตอนเกิดโลก
บางทีเมื่อดวงอาทิตย์พองตัวใหญ่ขึ้น โลกอาจจะฝังตัวเข้าไปอยู่ในดวงอาทิตย์เสียก็ได้ หรือไม่ก็ดวงอาทิตย์ก็จะหดตัวเล็กลง ทำให้อุณหภูมิของโลกต่ำลง และสภาพดินฟ้าอากาศ ก็อาจจะพอมีชีวิตอุบัติขึ้นมาใหม่อีกก็ได้ นักวิทยาศาสตร์บางคนบอกว่า ดวงอาทิตย์ในกาลต่อไปจะค่อยๆเย็นลง สารที่ประกอบเป็นดวงอาทิตย์จะหดตัวรวมกันเป็นกลุ่มหนาแน่นเข้าอีก สัก 30-40 พันล้านปีดวงอาทิตย์อาจจะมีแสงสว่างน้อยลง และมืดมิดดับไปในที่สุด สุริยะจักรวาลของเราก็จะดับมืดลงไปด้วย โลกจะตกอยู่ในความมืด อากาศจะเย็นจัดจนถึงกับจับตัวเป็นก๊าซแข็งห่อหุ้มโลกทั้งใบ .....!!!!!
ความนึกคิดในทำนองนี้คงฝังอยู่ในความรู้สึกของมนุษย์สมัยนั้นมาตลอด แม้กระทั่งเมื่อ 2-3 ร้อยปีมานี้ คนส่วนมากก็เข้าใจว่าโลกนี้มีลักษณะหรือสัณฐานแบน มีมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ล้อมรอบ มีดวงอาทิตย์เคลื่อนผ่านทางเบื้องบนทุกวัน แล้วสรุปเอาว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ดวงดาวต่างๆหมุนเวียนอยู่รอบๆ
 
 
 
 


สุริยะจักรวาลของเราเป็นจักรวาลที่ใหญ่โตมากจักรวาลหนึ่ง มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีดาวบริวารอีก 9 ดวงโคจรอยู่รอบๆ ดาวบริวารเหล่านี้แยกตัวออกมาจาก
ดวงอาทิตย์ในขณะที่ยังเป็นกลุ่มก๊าซอยู่ และหมุนรอบดวงอาทิตย์ในทางโคจรที่จำกัด นานเข้าก็จับกลุ่มเย็นตัวลงก่อน และกลายเป็นดาวเคราะห์ ที่ไม่มีแสงในตัวเอง และยังมีดาวดวงเล็กๆ เป็นบริวารของดาวเคราะห์ดวงใหญ่อีก เรียกว่าดวงจันทร์ และก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกันที่จับกลุ่มแล้วโคจรไปในรูปแบบของดาวหาง

ตำนาน "Atlantis"



ย้อนอดีตไปเมื่อ 2,300 ปีก่อนนี้ได้มีนักปราชญ์ชาติกรีกผู้ยิ่งใหญ่ ท่านหนึ่งชื่อ Plato ท่านได้เรียบเรียงบทสนทนาไว้สองบทชื่อ Timaeus และ Critias บทสนทนานี้ได้กล่าวถึง Critias ผู้เป็นเทวดของ Plato ว่าปู่ของท่านซึ่งมีนามว่า Critias the Elder ได้ยินนิทานที่พ่อของท่านที่ชื่อ Dropides เล่ามาอีกต่อหนึ่งว่าเพื่อนของท่านที่ชื่อ Solon ซึ่งมีชีวิตอยู่ในราวปี พ.ศ. 10 ได้ยินได้ฟังมาจากพระชาวอียิปต์แห่งวิหาร Sais ในประเทศอียิปต์ว่า มีอาณาจักรใหญ่แห่งหนึ่งที่รุ่งเรืองและมีอำนาจมาก ชื่อ Atlantis อาณาจักรนี้ตั้งอยู่บนเกาะๆ หนึ่งกลางมหาสมุทรแอตแลนติก และเกาะมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลมากแต่ในเวลาต่อมาเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้ทำลายเกาะ และเกาะถูกคลื่นยักษ์ในทะเลไหลท่วมทับจมหายไปในทะเลอย่างไม่มีใครคนใดพบเห็นเกาะอีกเลย และในบทสนทนาที่ชื่อ Critias นั้น Plato ได้เล่าถึงอาณาจักร Atlantis ว่าประชาชนของอาณาจักรนี้เป็นลูกหลานของเทพ Poseidon แห่งทะเล บนเกาะมีภูเขา มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีป่าไม้ แร่และสัตว์ป่าเช่น ช้าง มากมาย อาณาจักรนี้มีกษัตริย์ปกครองถึง 10 พระองค์ ซึ่งทุกองค์เป็นบุตรที่ถือกำเนิดจากนาง Cleito และเทพ Poseidon และทุกๆ 5 ปี กษัตริย์ที่กำลังปกครอง Atlantis จะล่าวัวศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำไปถวายเป็นเทพบูชาแด่ Poseidon Plato ยังเล่าอีกว่าในเมืองหลวงของอาณาจักร Atlantis มีบ่อน้ำร้อนสำหรับการอาบน้ำในฤดูหนาว และบ่อน้ำเย็นสำหรับการอาบน้ำในฤดูร้อนอีกด้วย ซึ่งสถานอาบน้ำเหล่านี้ยังถูกแบ่งออกเป็นระดับๆ สำหรับคนในวรรณะต่างๆ เช่น สำหรับกษัตริย์ คนธรรมดา และม้า ตัวเกาะ Atlantis ซึ่งมีกำแพงล้อมรอบนั้นยังถูกแบ่งออกเป็นวงแหวนที่เรียงซ้อนกัน 5 วง โดยมีสะพานเชื่อมโยงระหว่างวงเหล่านั้นและเรือเดินสมุทรสามารถลอยลำเข้าไปได้ถึงใจกลางเมือง นอกจากนี้ชาวเมือง Atlantis ยังมีการศึกษา มีความสามารถด้านการทำสงครามและมีศีลธรรมสูง
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วอายุคน ความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักร Atlantis ก็ได้เริ่มสลายจากความเป็นอารยะ ชาว Atlantis ได้เปลี่ยนเป็นคนกักขฬะที่กระหายและอำนาจ เทพเจ้า Zeus จึงได้ตัดสินพระทัยลงโทษอาณาจักร Atlantis ทันที แต่เมื่อบทสนทนา Critias กล่าวถึงตรงนี้ Plato ได้ตัดสินใจจบการเล่าเรื่องอย่างฉับพลันทันใด 50 ปีหลังจากที่ Plato ได้เสียชีวิตลง ในปี พ.ศ. 202 อนุชนรุ่นหลังและเหล่าศิษยานุศิษย์ก็ได้พยายามหาคำตอบว่า อาณาจักร Atlantis ของ Plato อยู่ที่ใดบนโลก และอาณาจักรนี้มีหรือไม่
Aristotle ผู้เป็นศิษย์เอกคนหนึ่งของ Plato คิดว่า Atlantis คืออาณาจักรในจินตนาการของ Plato ที่ไม่มีตัวตน และแม้แต่ในยุคของ Pliny the Elder ผู้เป็นนักประวัติศาสตร์โรมันที่มีชื่อเสียงราวปี พ.ศ. 620 ความเชื่อและความไม่เชื่อในเรื่องของ Atlantis ก็ยังคงปรากฏอยู่ โดยพวกที่เชื่อเรื่องนี้มักจะอ้างว่า Plato เป็นนักปราชญ์ที่มีคุณธรรม ดังนั้น ในการเขียนบทประพันธ์ใดๆ ท่านย่อมเขียนอย่างมีเหตุผล และกลั่นกรองว่ามีความถูกต้อง ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็มีมากมายเพราะอ้างว่าถ้า Atlantis มีจริง น่าจะมีคนพบเห็นซากของอาณาจักรบ้าง แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้แสดงให้เห็นตลอดเวลากว่า 2,000 ปีนี้ ไม่มีใครประสบความสำเร็จในการเห็น Atlantis เลย ถ้า Atlantis มีจริง อาณาจักรนี้ควรตั้งอยู่ ณ ที่ใด
Plato ได้เขียนไว้ว่า Atlantis ตั้งอยู่เลย Pillars of Hercules ออกไป ซึ่งในปัจจุบัน Pillars คือช่องแคบ Gibraltar ดังนั้น Atlantis จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีใครรู้จักดีเพราะแอตแลนติกเป็นพื้นน้ำที่ยังไม่มีใครกล้าข้าม ดังนั้นเกาะสวรรค์ต่างๆ ที่ปรากฏในนวนิยายกรีกยุคนั้นจึงมักจะถูกกำหนดให้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอนแลนติกทั้งสิ้น
ในปี พ.ศ. 2096 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่ Columbus ได้พบทวีปอเมริกาแล้ว 50 ปี นักประวัติศาสตร์ชาวสเปนท่านหนึ่งชื่อ Francesco Lopes do Gomara ได้เสนอแนะว่าหมู่เกาะ West Indies และทวีปอเมริกาคือ Alantis แต่ไม่นานความคิดที่ว่าอเมริกาคือ Atlantis ก็เริ่มหมดความเชื่อถือ แต่คนหลายคนที่ยังคลั่งไคล้ในมนต์เสน่ห์ของ Atlantis ก็ได้คิดต่อไปว่า อาณาจักรนี้น่าจะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกมากกว่าที่หมู่เกาะ Azores หรือ Madeiras หรือ Canaries แต่การศึกษาทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักร Atlantis มาก่อนเลย เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาในเรื่องของอาณาจักร Atlantis ก็ได้หันมาพิจารณาคำของ Plato ที่ว่า Pillars of Hercules นั้นจริงๆ แล้ว Plato น่าจะหมายถึงช่องแคบ Dardanelles ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่าช่องแคบ Gibraltar ดังนั้น การค้นหา Atlantis จึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบทะเล Mediterranean แทน
ในปี พ.ศ. 2443 เมื่อ Sir Arthur Evans แห่งอังกฤษได้ขุดพบพระราชวัง Knossos ของอารยธรรม Minoan บนเกาะ Crete ในทะเล Mediterranean หนังสือพิมพ์ The Times ได้พาดหัวข่าวว่า Evans พบ Atlantis แล้ว
แต่ก็ไม่มีใครยอมรับ เพราะการสำรวจทางโบราณคดี และทางธรณีวิทยาที่กระทำในเวลาต่อมาได้แสดงให้เห็นว่า เกาะ Crete ไม่เคยจมลงใต้ทะเลเลย และอีก 30 ปีต่อมา เมื่อ S. Marinastos นักโบราณคดีชาวกรีกได้ขุดพบวัตถุโบราณและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ของอารยธรรม Minoan บนเกาะ Crete เขาได้พบว่าวัตถุเหล่านี้ถูกฝังอยู่ภายใต้ฝุ่นภูเขาไฟ ที่ได้ระเบิดบนเกาะ Thera เมื่อ 4,000 ปีก่อนนี้ และฝุ่นได้ลอยไกลจากเกาะ Thera มาตกปกคลุมเกาะ Crete ซึ่งอยู่ไกลกันถึง 96 กิโลเมตร ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2482 Marinators จึงได้เสนอความคิดว่า อารยธรรม Minoan บนเกาะ Crete ต้องล่มสลาย เพราะได้เกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ของภูเขาไฟ บนเกาะ Thera (ซึ่งปัจจุบันเรียกเกาะ Santorini) เหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในครั้งนั้นได้ทำให้พระราชวัง Knossos และเมืองต่างๆ ของอาณาจักร Minoan พังทลาย และเถ้าถ่านและฝุ่นละอองจากภูเขาไฟได้ถล่มถมทับสิ่งปรักหักพังเหล่านี้จนหมดสิ้น เมื่อ Marinatos ได้ขุดพบหลักฐานทาง โบราณคดีที่สนับสนุนความคิดนี้ ที่เมือง Akrotiri ซึ่งอยู่ทางใต้ของเกาะ Thera เขาก็ได้พบถนนหนทาง เครื่องใช้ เช่น เครื่องปั้นดินเผามากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Akrotiri ก็เคยเป็นดินแดนหนึ่งของอารยธรรม Minoan บนเกาะ Crete เช่นกัน
ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่าอารยธรรม Minoan เป็นอารยธรรมโบราณที่เคยรุ่งเรืองในแถบทะเล Mediterranean เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนนี้ และอาณาจักรนี้มีจุดศูนย์กลางของความเจริญอยู่ที่เกาะ Crete ชาว Minoan มีอารยธรรมสูง มีกฎหมายใช้ มีเทคโนโลยีการถลุงแร่ รู้จักขุดคลอง อุโมงค์ และสร้างท่าเรือ นอกจากนี้ชาว Minoan ยังรู้จักสร้างบ้านที่มีที่ระบายอากาศ และสร้างห้องน้ำที่มีชักโครกอีกด้วย ส่วนในเรื่องค้าขายนั้นชาว Minoan ชอบค้าข้าวสาลี ทองแดง ตะกั่วและเครื่องปั้นดินเผากับผู้คนจากที่ไกลๆ อาณาจักร Minoan มีเมืองท่าสำคัญอยู่บนเกาะ Thera แต่เมื่อราว 3,500 ปีมานี้เอง อาณาจักร Minoan ก็ได้สลายมลายสูญไปทำนองเดียวกับ Atlantis ของ Plato
การศึกษาของ Marinatos ในเวลาต่อมาได้ทำให้เรารู้ว่าเมื่อ 1,520 ปีก่อนคริสต์กาลนั้น ภูเขาไฟบนเกาะ Thera ได้ระเบิด 3 ครั้ง และในครั้งสุดท้ายนั้น พลังระเบิดของภูเขาไฟที่สูงถึง 1,600 เมตรมีความรุนแรงมากยิ่งกว่าการระเบิดของภูเขาไฟ Krakatoa ในอินโดนีเซียที่ระเบิดเมื่อปี พ.ศ. 2462 ถึง 5 เท่า เสียงภูเขาไฟระเบิด ในครั้งนั้นสามารถได้ยินไปไกลถึง 3,000 กิโลเมตรของเกาะ Thera ให้ทรุดจมลงใต้ทะเล ฝุ่น ควันและเขม่าภูเขาไฟได้พุ่งขึ้นฟ้าบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้พื้นที่ 400 ตารางกิโลเมตรในบริเวณรอบๆ ภูเขาไฟเปลี่ยนสภาพจากกลางวันเป็นกลางคืน เถ้าถ่านและลาวาที่หนาถึง 30 เมตรได้ทับถมอารยธรรม Minoan บนเกาะ Thera จนมือสนิท และอีก 40 ปีต่อมา การยุบตัวของปล่องภูเขาไฟบนเกาะ Thera ได้ทำให้ทะเลบริเวณรอบเกาะปั่นป่วน คลื่นยักษ์ (tsunami) ที่มีความสูงถึง 30 เมตรได้ไหลพุ่งเข้าถล่มเกาะ Crete มีผลทำให้อารยธรรม Minoan ถึงจุดจบ แล้วอารยธรรม Mycenean ก็ได้เข้ามาแทนที่ทันที เหตุการณ์ปฐพีถล่มล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนั้น อธิบายชะตากรรมของ Crete ได้อย่างสมบูรณ์และ Marinatos เองก็คิดว่าเหตุการณ์นี้อธิบายการสูญสลายของ Atlantis ด้วยทฤษฎี Crete-Thera จึงเป็นทฤษฎี Atlantis ที่ผู้คนยอมรับกันมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ประมาณ 20 ปี ความเชื่อในทฤษฎีนี้ก็เริ่มคลอนแคลนอีก
เพราะนักประวัติศาสตร์ ได้พบหลักฐานเพิ่มเติมว่าภูเขาไฟบนเกาะ Thera ได้ระเบิดก่อนที่พระราชวัง Knossos บนเกาะ Crete จะถูกถล่มถึง 150 ปี
ในหนังสือชื่อ Mysteries of the Ancient World ซึ่งมี J. Flanders เป็นบรรณาธิการ และถูกพิมพ์วางตลาด เมื่อเดือนธันวาคม 2541 J. Westwood ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับ Atlantis ว่า Plato เป็นบุคคลเดียว ที่ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ และตั้งแต่นั้นมาใครก็ตามที่พูดถึง Atlantis ต่างก็จะอ้าง Plato ทั้งสิ้น จากเอกสารและหลักฐานทั้งหลาย ที่ปรากฏไม่มีใครรู้อย่างมั่นใจ 100% ว่า Plato ได้ตั้งใจเขียนเรื่อง Atlantis ขึ้นมาเพื่อลวงโลก หรือไม่คนบางคนคิดว่าปราชญ์ Solon ที่ Plato อ้างว่าได้ยินเรื่อง Atlantis จากพระชาวอียิปต์นั้นได้นำ "ข่าว" นี้มาบอกต่อๆ กันไปจากปากหนึ่งสู่อีกปากหนึ่ง แต่วิธีการถ่ายทอดข้อมูลลักษณะนี้ มักจะทำให้เนื้อหาของเรื่อง ผิดเพี้ยนไปเสมอ และถ้า Atlantis มีจริงดังที่ Plato เขียนไว้ เหตุใดพระอียิปต์ จึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ Herodotus นักประวัติศาสตร์ชาติกรีก ที่ได้เคยไปเยือนอียิปต์เมื่อ 450 ปีก่อนคริสต์กาลฟัง และถ้าข้อมูล Atlantis มาจากพระอียิปต์แต่เพียงแห่งเดียว จริงและข้อมูลนั้นมีเรื่องที่เกี่ยวกับกรีกด้วย เราก็ไม่สามารถจะมั่นใจได้ว่า ข้อมูลของชาวอียิปต์ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวกรีกเมื่อ 4,000 ปีก่อนนั้นเป็นเรื่องราวที่ถูกต้อง 100%
ประเด็นเหล่านี้ทำให้นักวิชาการ ปัจจุบันส่วนใหญ่เชื่อว่า Aristotle คิดว่าถูกที่ว่า Atlantis คืออาณาจักรนิยายที่ไม่มีตัวตน และ Plato ได้เขียนเรื่อง Atlantis ขึ้นมาเพื่อสอนใจ โดยใช้ข้อมูลภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์มาประกอบอย่างค่อนข้างสมจริงตามแนวหนังสือชื่อ The Republic ของ Plato เอง นักวิชาการเหล่านี้ ได้ชี้ให้เห็นว่านิทานเรื่อง Atlantis มีเนื้อหาที่ละม้ายคล้ายคลึงกับประวัติศาสตร์ของสงคราม Peloponnesian ที่เกิดขึ้นเมื่อ 431-404 ปีก่อนคริสต์กาล โดย Plato ได้สมมติให้ Atlantis แทน Athens และ Athens คือ Sparta อนึ่ง ในสงครามครั้งนั้นได้มีคลื่นยักษ์พุ่งเข้าถล่มป้อมปราบของฝ่าย Athens บนเกาะ Atalante จนราบเรียบเช่นกัน
ถึงแม้ Plato จะเขียนเรื่อง Atlantis ขึ้นมาโดยอาศัยข้อมูลจากหลายแห่งก็ตาม แต่ก็มีคนอีกหลายคนที่มิได้คิดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นนิยาย คนเหล่านี้มีความรู้สึกอยากจะให้ Atlantis มีจริง และอยากจะเห็น Atlantis อีกครั้ง โดยอยากจะเห็นการผจญภัยในการค้นหา Atlantis ใต้ทะเล เหมือนเช่นที่ตอนกัปตัน Nemo ได้ใช้เรือดำน้ำชื่อ Nautilus ลงไปสำรวจใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์ในนวนิยายเรื่อง Twenty Thousand Leagues Under the Sea ของ Jules Verne และกัปตัน Nemo ได้เห็นซากปรักหักพังของเมืองเห็นซากกำแพงเมืองและเสาหินต่างๆ ใต้ทะเล และที่ประตูเมืองนั้นมีคำจารึกว่า ATLANTIS

ตำนานพ่อมด เมอร์ลิน (Merlin)


เมอร์ลิน (Merlin)
อภิมหาอมตะพ่อมดอีกคนหนึ่งของโลก ผู้ซึ่งมีความยิ่งใหญ่ในยุคสมัยของเขา เทียบได้กับอัลบัส ดัมเบิลดอร์แห่งยุคปัจจุบันเลยทีเดียว เมอร์ลินได้รับการยกย่องว่าเป็นพ่อมดซึ่งเฉลีบวฉลาดที่สุดเท่าที่เคยมีมา เขาเป็นพ่อมดใหญ่มีความเชี่ยวชาญในวิทยาการหลายแขนง ทำงานเป็นทีปรึกษาให้แก่กษัตริย์ของอังกฤษหลายพระองค์ ทั้งกษัตริย์วอร์ดิเกิร์น กษัตริย์อูเธอร์ เพนดรากอน แต่ที่โด่งดังที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นกษัตริย์อาเธอร์
ชีวประวิติของพ่อมดเมอร์ลินมีเค้าโครงบางอย่างที่พอจะยืนยันได้ว่ามีตัวตนอยู่จริง ตำนานมหัศจรรย์เกี่ยวกับพ่อมดเมอร์ลินมีอยู่มากมายเล่ากันว่า เขาคือผู้จัดเรียงก้อนหินมหึมาที่สโตนเฮนจ์ เพื่อเป็นที่ระลึกแก่เหล่าทหารของกษัตริย์อาเธอร์ บ้างก็ว่าเมอร์ลินสามารถหยั่งรู้อนาคตได้อย่างชัดแจ้ง เนื่องจากเขาเป็นผู้ที่มีชีวิตย้อนหลัง กล่างคือคนทั่วไปจะใช้ชีวิตจากอดีตไปสู่อนาคต แต่เมอร์ลินจะใช้ชีวิตจากอนาคตย้อนมาสู่อดีต เมื่อเขาเคยผ่านอนาคตมาก่อนแล้ว จึงทำให้ทราบเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อไป
บทบาทของพ่อมดเมอร์ลินที่คนทั่วโลกจดจำได้ คือการเป็นอาจารย์และเป็นที่ปรึกษาให้แก่กษัตริย์อาเธอร์ สมัยที่กษัตริย์อาเธอร์ยังเป็นทารกแบเบาะอยู่นั้น ก็โดนคำสั่งจากพระราชบิดาให้ประหารชีวิต เมอร์ลินก็เป็นผู้ช่วยชีวิตและหาที่หลบซ่อนให้แก่อาเธอร์น้อย เช่นเดียวกันกับดัมเบิลดอร์ที่ซ่อนตัวแฮร์รี่ พอตเตอร์เอาไว้จากโวลเดอมอร์ กวีชื่อว่า อัลเฟรด ลอร์ด เทนนีสัน ได้เล่าถึงตำนานตอนนี้เอาไว้ในบทกวีชื่อ Idylls of the King ดังนี้
ท่ามกลางความโศกเศร้าและเหงาหงอย
อาเธอร์น้อยกำเนิดมาน่าสงสาร
ต้องหลบซ่อนตัวตนให้พ้นพาล
อยู่กับท่านเมอร์ลินสิ้นกังวล
ด้วยอูเธอร์ผู้บิดาจิตป่าเถื่อน
ร้ายเสมือนสัตว์ป่าน่าฉงน
เหลิงอำนาจเกรงลูกชายทำลายตน
จึงคิดฆ่าเพื่อให้พ้นทางตนไป
เมอร์ลินนำเด็กน้อยให้แอนตัน
ผู้ผูกพันกับอูเธอร์เกลอรุ่นใหญ่
เซอร์แอนตันกับภรรยามีน้ำใจ
เลี้ยงอาเธอร์ด้วยห่วงใยและเมตตา
ส่วนกษัตริย์อูเธอร์ผู้เห่อเหิม
นับวันเพิ่มความร้ายกาจพิฆาตฆ่า
อาณาจักรล่มสลายไม่นำพา
หายนะสู่ประชาน่าเศร้าใจ

เมื่อกษัตริย์อาเธอร์เติบใหญ่ขึ้นมา เมอร์ลินก็ยืนหยัดอยู่เคียงข้างเขาเสมอ กษัตริย์อาเธอร์เอาชนะศัตรูแห่งอังกฤษมาได้นับครั้งไม่ถ้วน เพราะอาศัยสติปัญญาอันฉลาดและเวทมนตร์วิเศษของพ่อมดเมอร์ลินคอยช่วยเหลือ เมื่อหมดสิ้นยุคสมัยของกษัตริย์อาเธอร์ พ่อมดเมอร์ลินก็หายสาบสูญไป บางตำนานเล่าว่า เมอร์ลินถูก เลดี้ ออฟ เดอะ เลค ผู้ซึ่งเป็นสตรีที่เขาหลงรัก ล่อลวงให้ไปสร้างเสาวิเศษ แล้วเธอก็ใช้เสาวิเศษนั้นจองจำเมอร์ลินอยู่ที่นั่นไปชั่วนิรันดร์
มอร์กาน่า (Morgana)
ชื่อของมอร์กาน่า ในบางครั้งอาจเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งคือ มอร์แกน เลอ เฟย์ เธอเป็นหญิงงามคนหนึ่งในเทพนิยายของอังกฤษ ผู้ซึ่งมีอำนาจวิเศษในการรักษาโรค มอร์กาน่าเกิดร่วมสมัยกับกษัตริย์อาเธอร์แห่งอัศวินโต๊ะกลม บางตำนานก็เล่าว่าเธอเป็นน้องสาวของกษัตริย์อาเธอร์ และมีอาจารย์สอนเวทมนตร์คนเดียวกันกับเขา ซึ่งก็คือ พ่อมดเมอร์ลิน อย่างไรก็ดี มอร์กาน่ามักแสดงความเป็นปฏิปักษ์กับกษัตริย์อาเธอร์อยู่เสมอ ครั่งหนึ่งเธอเคยแอบโขมยดาบวิเศษของกษัตริย์อาเธอร์ที่ชื่อว่าดาบเอกซ์คาลิเบอร์ และถึงขนาดวางแผนที่จะสังหารเขาเลยทีเดียว
ลือกันว่า มอร์กาน่าอาศัยอยู่ในแถบชายฝั่งทะเลในอิตาลี ในบริเวณช่องแคบเมสสิน่า ท้องทะเลแถบนี้จะมีทิศทางการไหลของน้ำค่อนข้างแปลก และมักจะพัดเอาสัตว์เรืองแสงจากใต้ทะเลลึกขึ้นมาบนผิวน้ำ ทำให้เกิดเห็นเป็นแสงประหลาดระยิบระยับอยู่เหนือผิวน้ำเต็มไปหมด ชาวเรือจึงเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า ฟาต้า มอร์กาน่า คำว่า "ฟาต้า" เป็นภาษาอิตาลี แปลว่า นางฟ้า
พาราเซลซัส (Paracelsus)
พาราเซลซัส มีชื่อเต็มว่า ฟิลิปปุส ออเรโอลัส พาราเซลซัส เกิดที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมื่อปี ค.ศ. 1493 เขาเป็นผู้ริเริ่มวิชาเคมีและการแพทย์สมัยใหม่ เป็นคนแรกที่ค้นพบการรักษาโรคลมบ้าหมู (เดิมทีเชื่อกันว่าเป็นอาการที่เกิดจากความผิดปกติของจิต) ค้นพบอาการของโรคซิฟิลิส การนำมอร์ฟีนมาใช้เพื่อระงับความเจ็บปวด ฯลฯ
พาราเซลซัสเริ่มต้นการทำงานโดยการเป็นแพทย์ จากนั้นเขาจึงได้เริ่มศึกษาเกี่ยวกับเวทมนตร์ โดยเฉพาะการเล่นแร่แปรธาตุและการพยากรณ์ ชื่อเสียงของพาราเซลซัสเกี่ยวข้องทั้งทางการแพทย์ และความเป็นพ่อมดผู้วิเศษอย่างแยกกันไม่ออก เขาปฏิเสธที่จะจำกัดตัวเองอยู่กับการศึกษาทางการแพทย์เพียงอย่างเดียว พาราเซลซัสจึงทำการพัฒนาเพื่อหาวิธีการรักษาโรคด้วยตัวของเขาเองจากศาสตร์แขนงต่าง ๆ เขาถูกกล่างหาว่าเป็นพวกพ่อมดหมอผี แต่เขาไม่สนใจคำวิจารณ์เหล่านั้น เขากล่าวว่า "มหาวิทยาลัยไม่ได้สอนทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เรา ดังนั้นผู้ที่เป็นแพทย์จะต้องเรียนรู้จากคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นหญิงชรา พวกยิปซี พ่อมด ชนเผ่าเร่ร่อน หรือแม้กระทั่งพวกนอกกฎหมาย จึงจะได้รับความรู้อันแท้จริง แพทย์ที่ดีต้องเป็นนักเดินทางด้วย เพราะความรู้ที่แท้จริงก็คือประสบการณ์นั่นเอง"
พาราเซลซัสได้พัฒนาวิธีการรักษาโรคที่มีประโยชน์ขึ้นมามากมาย ค้นพบสาเหตุของโรคปอดอักเสบ โรคของคนงานเหมืองแร่ที่เกิดจากการสูดดมฝุ่นละออกของโลหะหนักเข้าไป ซึ่งสมัยก่อนถือกันว่าโรคนี้เกิดจากวิณญาณอันชั่วร้าย ในปี ค.ศ. 1534 เขายุติการระบาดของโรค โดยการฉีดวัคซีน
แต่ดูเหมือนว่าแพทย์คนอื่น ๆ จะไม่ชอบหน้าเขาเอาเสียเลย เนื่องจากทัศนคติที่ไม่เหมือนชาวบ้าน และริษยาในความสำเร็จที่เขาได้รับ แพทยสภาไม่ให้การรับรองแก่พาราเซลซัสนานเกือบสิบปี ภายหลังเขาต้องถูกเนรเทศออกไปจากเมือง หลังจากที่เขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1541 ชื่อเสียงของเขาจึงกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง วงการแพทย์สมัยใหม่เป็นหนี้บุญคุณของพาราเซลซัสอย่างใหญ่หลวง
คลิโอดน่า แม่มดแห่งดรูอิด (Druidess Cliodna)
ในเทพนิยายของชาวไอริช คลิโอดน่าทำหน้าที่ในหลายบทบาท คือเป็นตั้งแต่เทพีแห่งความงามไปจนถึงผู้ครองดินแดนหลังความตาย นอกจากนี้ คลิโอดน่ายังทำหน้าที่เป็นเทพีแห่งท้องทะเลอีกด้วย มีความเชื่อกันว่า คลิโอดน่าจะปรากฎร่างขึ้นทุกครั้ง เมื่อคลื่นลูกที่เก้ากระทบฝั่ง นอกจากนี้เธอยังมีนกวิเศษสามตัวที่มีอิทธิฤทธิ์ในการรักษาความเจ็นป่วยได้
อะกริบป้า (Agrippa)

ชื่อของเขาตามที่ระบุไว้ในบัตรประจำตัวพ่อมดคือ ไฮน์ริช คอร์เนริอุส อะกริบป้า เขาเป็นพ่อมดแห่งยุคเรอเนอซองซ์ (ประมาณคริสตศตวรรษที่ 14 - 16) เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1486 ที่เมืองไฮน์ริช คอร์เนลิส ใกล้กับเมืองโคโลญจ์ในปัจจุบัน ประเทศเยอรมัน อะกริบป้าเป็นชื่อที่ผู้คนเรียกเขาด้วยความยกย่องในคุณงามความดีที่เขามีต่อบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง
อะกริบป้าเคยทำมาหลายอาชีพ เป็นมาแล้วทั้ง แพทย์ ทนายความ หมอดู และนักบำบัดอาการทางจิต เขามีเพื่อนฟูงมากมายพอ ๆ กับจำนวนศัตรูเลยเช่นกัน ผู้คนยกย่องให้อะกริบป้าเป็นผู้วิเศษ เนื่องจากในปี ค.ศ. 1529 เขาได้เขียนตำราว่าด้วยเวทมนตร์วิเศษขึ้นมาเล่มหนึ่ง ชื่อ On Occult Philosophy ตำรานี้มีทั้งตัวอักษรภาษาฮิบรูและภาษากรีก เขายืนยันว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะรู้จักกับพระเจ้าคือการเรียนรู้อำนาจวิเศษ คริสตจักรลงความเห็นว่าอะกริบป้าคือพวกคนนอกรีต พวกมักเกิ้ลจึงจับตัวเขาไปขังคุก อะกริบป้าเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1535 ว่ากันว่า การ์ดสะสมภาพกบช็อคโกแลตของอะกริบป้าหาได้ยากที่สุดเลย

ทำไมต้องมีรูปปั้นการ์กอยล์ (Gargoyle)ประดับโบสถ์

รู้ไหม...ทำไมต้องมีรูปปั้นการ์กอยล์ (Gargoyle)ประดับโบสถ์
บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
การ์กอยล์ ปัจจุบันอาศัยอยู่ตามโบสถ์ มหาวิหาร อาคารต่างๆของซีกโลกตะวันตก มหาวิหารดังๆที่โลกรู้จักกันก็มี มังกรการ์กอยล์ อาศัยอยู่ เช่น วิหารนอเตรอดาม แห่ง กรุงปารีส (Notre Dame de Paris) มหาวิหารนอเตรอ-ดาม แห่ง ดิฌง (Notre Dame de Dijon) วิหารแห่งชาติ ณ กรุงวอชิงตัน (Washington National Cathedral) 2 แห่งแรกนี่เรียกยาก ผมสะกดผิดก็อย่าว่ากันนะคับ แต่แห่งหลังเนี่ยถูกต้องชัวร์ๆ นับว่าเจ้ารูปสลัก การ์กอยล์ เนี่ย เป็นประติมากรรมที่สวยงามชิ้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว และก็ไม่ได้มีไว้ประดับประดาอาคารเพื่อความสวยงามเท่านั้น ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้อีกด้วย นั่นคือ เป็นที่ระบายน้ำฝน


ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นว่า รูปสลักหน้าตาประหลาด ๆ เหล่านี้มักมีอากัปกิริยาแตกต่างกันไป แต่จะมีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ มีช่องทางให้ระบายน้ำได้ ไม่ว่าจะเป็นทางปาก จมูก หู หรือส่วนอื่น ๆ ของรูปสลักเหล่านี้ ซึ่งบางครั้งอาจจะมีรูปร่างพิลึกพิลั่นอยู่บ้าง มากล่าวถึงชื่อที่เรียกว่า การ์กอยล์ กันบ้าง สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า ลา การ์กุยย์ (La Gargouille) ในภาษาฝรั่งเศส อันมีรากศัพท์มาจาก เกอร์กูลิโอ (Gurgulio) ในภาษาละติน หมายถึง คอ และ พ้องกับเสียงของน้ำที่ไหลผ่านรางน้ำฝนบนตัวอาคาร

มีตำนานมากมายกล่าวถึงที่มาของชื่อ การ์กอยล์ หรือ ลา การ์กุยย์ นี้ แต่ตำนานเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย คือ ตำนานอันเก่าแก่ของฝรั่งเศส ที่เล่าขานกันว่า ประมาณ ศตวรรษที่ 7 ณ หมู่บ้านรูออง (Rouen) ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส มีมังกรไฟตัวหนึ่งซึ่งมีนิสัยดุร้ายอาศัยอยู่ในถ้ำใกล้ริมแม่น้ำแซน (Seine) เจ้ามังกรตัวนี้ยื่นคำขาดให้ผู้คนในหมู่บ้านส่งหญิงพรหมจรรย์มาสังเวยมันทุกปี (ว๊าว! ข้อเสนอของมันเล่นซะจนผมยังต้องอิจฉามันเลย หญิงพรหมจรรย์ทุกปี ถ้าเป็นผมนะ จะยื่นขอเสนอใหม่เป็นทุกเดือน รู้สึกจะแสดงอาการออกนอกหน้าเกินไปแล้วเรา) มิฉะนั้นมันจะพ่นไฟให้ทั้งหมู่บ้านจมอยู่ในกองเพลิงภายในพริบตา ด้วยความกลัว ชาวบ้านจึงจำต้องส่งหญิงสาวไปให้มันทุกปี หากปีใดไม่สามารถหาสาวบริสุทธ์ได้ก็จำต้องส่งนักโทษไปแทน แน่นอนว่าเจ้ามังกรตัวนี้ไม่พอใจอย่างยิ่ง (เป็นผมผมก็ไม่พอใจ จากหญิงสาวพรหมจรรย์เปลี่ยนไปเป็นนักโทษ คนละขั้วกันเลย) ดังนั้นมันจะมาบินวนรอบ ๆ หมู่บ้านพร้อมกับพ่นไฟและ ส่งเสียงขู่คำรามในลำคอ อันเป็นเหตุให้ชาวบ้านเรียกเจ้ามังกรตัวนี้ว่า ลา การ์กุยย์ ชาวบ้านรูอองต้องหวาดกลัวเจ้ามังกรพ่นไปตัวนี้เป็นเวลานาน

จนกระทั่งวันหนึ่ง นักบวช แซงต์ รูมานีส์ (Saint Romanis) (ไม่ใช่อัศวินขี่ม้าขาวหรอกหรือ? แต่เป็นนักบวช) ได้มาเดินทางเยือนหมู่บ้านแห่งนี้ เมื่อได้รับรู้ชะตากรรมของชาวบ้าน ท่านก็เสนอตัวเข้าช่วยเหลือ โดยมีข้อแม้ว่า หากท่านปราบมังกรตัวนี้ได้ ชาวบ้านจะต้องสร้างโบสถ์ให้ท่านหนึ่งหลัง ซึ่งชาวบ้านก็ตกลงรับเงื่อนไขนี้โดยดี (โบสถ์หนึ่งหลังแลกกับไปฆ่ามังกร คุ้มคับคุ้ม) ท่านนักบวชได้เดินทางไปยังถ้ำมังกรโดยไม่มีอาวุธใด ๆ นอกจากไม้กางเขนและศรัทธาต่อ พระเจ้าเท่านั้น แต่กระนั้น ท่านก็สามารถสยบเจ้ามังกรร้ายตัวนี้ได้ และนำมันกลับมายังหมู่บ้าน ชาวบ้าน รูอองรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่พวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขเสียที หลังจากต้องหวาดกลัวมังกรร้ายมาตลอดเวลา

ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่ามังกรไฟ ลา การ์กุยย์ นี้จะไม่สามารถกลับมาทำร้ายใครได้อีก ชาวบ้านจึงจับมังกรนี้มัดและเผามันทั้งเป็น แต่เนื่องจากเจ้า ลา การ์กุยย์ เป็นมังกรพ่นไฟ เพลิงจึงเผาผลาญทุกส่วนของมัน ยกเว้น หัวและคอ ซึ่งไม่ว่าใช้วิธีใดก็ไม่สามารถทำลายมันได้ ดังนั้น เมื่อชาวบ้านสร้างโบสถ์ให้นักบวช แซงต์ รูมานีส์ ตามสัญญา นักบวชเลยแนะนำให้เอาหัวมังกรไปประดับไว้กับตัวโบสถ์เพราะเจ้ามังกรตัวนี้มีอำนาจศักด์สิทธิ์ ดังนั้นมันจะสามารถขับไล่มิให้ภูติผีปีศาจหรือสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ เข้ามาใน ตัวโบสถ์ได้ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การนำเอารูปสลักสัตว์หน้าตาประหลาดต่าง ๆ มาประดับโบสถ์วิหารก็กลายเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา ในยุโรปและเมื่อชาวยุโรปได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกา ก็ได้นำประติมากรรมประหลาดนี้ไปด้วย ดังนั้น ตามวิหารหรืออาคารจำนวนไม่น้อยในสหรัฐอเมริกาจึงประดับด้วยรูปสลักการ์กอยล์นี้เช่นกัน หากว่าใครแวะไปเที่ยวที่มหาวิหารที่ผมกล่าวมาเนี่ย ก็แวะไปเยี่ยมเยียน เจ้ามังกรการ์กอยล์กันบ้าง และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องจำเอาไว้และปฎิบัติตามเคร่งครัดก็คือ อย่าลืมของฝากนะคับ! (ซื้อฝากนะไม่ได้ให้ฝากซื้อ)

เทพไททัน


โอเคียนัส
เชื่อกันว่าไททันโอเชียนัส (อังกฤษ: Oceanus ; กรีก: Ωκεανός , Okeanos) เป็นระบบที่เชื่อมต่อกันของแหล่งน้ำ เขตน่านน้ำ และมหาสมุทรของโลก (world-ocean) ในยุคสมัยคลาสสิคโบราณซึ่งชาวโรมันและชาวกรีกโบราณคิดว่ามันคือแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ล้อ
มรอบโลกอยู่ ตามตำนานเทพปกรณัมกรีก มีไททันตนหนึ่งถูกใช้เป็นบุคลาธิษฐานแทนแหล่งน้ำนี้ ซึ่งไททันตนนี้เป็นพระโอรสของไททันยูเรนัส (Uranus) และเทพีไกอา (Gaia) ผลงานศิลปแบบโมเสคของเฮเลนนิสต์และโรมันมักออกแบบไททันตนนี้ให้มีช่วงบนของร่างเป็นช
ายร่างบึกบึน มีหนวดเครายาวรุงรัง และเขา ส่วนช่วงล่างจะเป็นร่างของงูเซอร์เพนท์ (serpent) ในภาพวาดบนชิ้นส่วนจากเครื่องปั้นในช่วงประมาณ 580 ปีก่อนคริสตกาล ในกลุ่มเทพที่เข้าร่วมงานวิวาห์ของกษัตริย์เพเลอุซ (Peleus) และนิมฟ์ทะเลเธทิส (Thetis) ไททันโอเชียนัสมีหางเป็นปลา ในมือขวาถือ "terd" และมือซ้ายถืองูเซอร์เพนท์ ซึ่งสองสิ่งนี้เป็นของขวัญแห่งความมั่งคั่งและคำทำนาย ในผลงานโมเสคโรมัน ก็มีภาพไททันโอเชียนัสถือไม้พายและอุ้มเรือด้วยเช่นกัน

โครนัส
ไททันโครนัส (อังกฤษ: Cronus, ภาษากรีกโบราณ: Κρόνος, Krónos) หรือพระนามอื่นว่าเทพโครนอส (Cronos หรือ Kronos) เป็นผู้นำและไททัน (Titan) รุ่นแรกที่มีอายุน้อยที่สุด ซึ่งเป็นทายาทของเทพีไกอา (Gaia) พระแม่ธรณี และเทพยูเรนัส (Uranus) เทพแห่งท้องนภา เทพโครนัสได้ทำการโค่นบัลลังก์ของพระบิดา เทพยูเรนัส และขึ้นครองบัลลังก์ในช่วงยุคทอง จนกระทั่งถูกโค่นบัลลังก์โดยพระโอรสของตน เทพซุส (Zeus) เทพโครนัสมิได้ถูกจองจำในยมโลกทาร์ทารัส (Tartarus) เหมือนเช่นไททันตนอื่นๆ แต่เขากลับหลบหนีไป

ด้วยเหตุที่ว่าเทพโครนัสมีความเกี่ยวเนื่องกับยุคทอง เขาจึงได้รับการสักการะในฐานะเทพแห่งฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งรวมไปถึงการเก็บเกี่ยวพืชผลเช่น ข้าว ธรรมชาติ ผลผลิตทางการเกษตร และการเดินไปข้างหน้าของกาลเวลาที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ภาพของเทพโครนัสมักถือเคียวไว้ในมือ ซึ่งพระองค์ใช้ในการเก็บเกี่ยวพืชผล และเป็นอาวุธที่พระองค์ใช้โค่นบัลลังก์เทพยูเรนัส ในกรุงเอเธนส์ (Athens) วันที่ 12 ของทุกๆ เดือน ถูกเรียกว่าวันฮีคาทอมบาเอียน (Hekatombaion) ซึ่งจะมีงานเทศกาลชื่อว่า เทศกาลโครเนีย (Kronia) จะจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เทพโครนัสสำหรับฤดูเก็บเกี่ยว พระนามของเทพโครนัสในตำนานเทพปกรณัมโรมันคือ เทพแซทเทิร์น (Saturn)


รีอา
รีอา เป็นเทพีไททัน ซึ่งเป็นธิดาของเทพยูเรนัส และเทพีไกอา พระนางแต่งงานกับโครนัส เทพไททันผู้เป็นพี่ชาย และได้รับการขนานนามว่า 'เทพมารดา' รูปเคารพของเทพีรีอามักอยู่คู่กับสิงโตอยู่เสมอ พระนางเป็นมารดาของเทพโอลิมเปียนทั้ง 12 องค์
การกำเนิดของรีอา
ตามตำนานกรีกกล่าวว่ารีอาเป็นธิดาของเทพีไกอา และเทพยูเรนัส เป็นหนึ่งในเหล่าเทพไททันที่ถูกเทพยูเรนัสผู้เป็นบิดาโยนลงไปในทาทะรัสพร้อมกับเหล่า
อสุรกาย และได้กลับขึ้นมาบนพื้นพิภพอีกครั้งเมื่อโครนัส เทพไททันองค์สุดท้องอาสาปราบยูเรนัสและยึดอำนาจของยูเรนัสมาเป็นของเหล่าเทพไททัน

ส่วนในตำนานของชาวเพลาสกันได้กล่าวว่ายูริโนมี เทพีองค์แรกได้ถือกำเนิดขึ้นและสร้างเหล่าเทพไททันขึ้น รีอาเป็นหนึ่งในเทพไททัน มีหน้าที่ดูแลดาวเสาร์ร่วมกับโครนัสผู้เป็นสามี





รีอาและโครนัส
ภายหลังจากการกอบกู้เหล่าเทพไททันของโครนัส โครนัสก็ได้แต่งตั้งให้รีอาเป็นชายา และเป็นราชินีของเทพทั้งปวง แต่เนื่องจากหลังจากโครนัสได้กำจัดยูเรนัสลงแล้ว ไม่ได้ช่วยเหลือเหล่าอสุรกายผู้เป็นบุตรของไกอาดังที่สัญญากับไกอาไว้ ไกอาจึงสาปให้บุตรของโครนัสที่เกิดจากรีอาช่วงชิงบัลลังก์ของโครนอส เช่นเดียวกับที่โครนอสได้ช่วงชิงบัลลังก์จากยูเรนัส





บุตรของรีอา
เนื่องจากคำสาปของไกอา โครนอสจึงหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลาและเมื่อรีอาคลอดบุตรออกมา โครนอสก็กลืนเทพที่ถือกำเนิดขึ้นมานั้นลงไปทั้งตัว รีอาได้แต่เคียดแค้น จนเมื่อบุตรองค์สุดท้องของรีอาถือกำเนิดขึ้น นางก็ได้นำเทพองค์นั้น หรือซุส ไปซ่อนไว้ที่ภูเขาไอดา โดยฝากให้ไกอาเป็นผู้ดูแล และฝึกฝนซุสให้กลับไปแก้แค้นโครนัสผู้เป็นบิดา และช่วยเหลือเหล่าเทพโอลิมเปียนบุตรของนางออกมาจากท้องของโครนัส


ทีธิส
เทพีทีธิส เป็นหนึ่งในเหล่าเทพไททัน บุตรของเทพีไกอา และเทพยูเรนัส พระนางเป็นเทพแห่งท้องน้ำ ที่มักจะถูกสับสนกับนิมฟ์ ชื่อว่าธีทิส ซึ่งเป็นมารดาของ อะคิลิส วีรบุรุษในสงครามแห่งทรอย

เทพีทีธิสไม่ได้ปรากฏในเทพปกรณัมกรีกมากนัก ทราบเพียงแต่ว่าพระนางเป็นทั้งมเหสีและขนิษฐา (น้องสาว)ของโอเชียนัส มีบุตรและธิดามากมาย รวมถึงเหล่านีริอิด ภูติแห่งสายน้ำด้วย

บางตำนานได้กล่าวถึงเทพีทีธิสว่าเป็นเทพีผู้ดูแลเทพีเฮราในยามวัยเยาว์

มักกะลีผล


นารีผล หรือมักกะลีผล หรือมัคคะลีผล เป็นพืชชนิดหนึ่งมีอยู่ในป่าหิมพานต์ ออกดอกผลซึ่งมีรูปร่างเหมือนสตรี ออกดอกช่อขนาดเท่ากับคน ผลมีรูปร่างสัดส่วนเหมือนสาวแรกรุ่นอายุ 16 ปี ผิวมีมะปรางสุก ตาดำสีทอง ตาขาวสีฟ้า ผมสีทอง ตาโตเด่นชัด จมูกเหมือนพระจันทร์เสี้ยว โด่ง 45 องศา ผมสีทอง ที่ขวัญมีขั้วเหมือนมังคุด คิ้วต่อ คอปล้อง มี 3 ปล้อง ไม่มีไหปลาร้า นิ้วมือทั้ง 4 นิ้ว ชี้ กลาง นาง ก้อย ยาวเสมอกัน นิ้วโป้งยาวได้ครึ่งหนึ่งของนิ้วชี้ นิ้วมือและแขนไม่มีข้อปล้อง มีกลิ้นกายหอมที่สุด เต็มไปด้วยกามคุณทั้ง 5 ร่างกายเบาเพราะไม่มีกระดูก

เมื่อต้นนารีผลออกช่อได้ 3 วันก็จะมีประจำเดือน 7 วันร่วงหลุดจากต้น เมื่อหลุดจากต้นแล้วยังอยู่ได้อีก 4-5 เดือน จึงจะเริ่มเหิ่ยว เหมือดอกไม้ และจะหดลงย่อส่วนลง จน หายไปในที่สุด ดอกของมัคคะลีผลนี้ ก็มีหุมมีบานเหมือนดอกบัว 18.00 น. ก็หุบ และ06.00น. ก็บานออกมาร้องรำทำเพลง ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวนทั่วทั้งบริเวณนั้น

ฤาษีที่ยังเหาะไม่ได้ก็จะมานั่งที่โคนต้น ส่วน นักสิทธิ์ วิทยาธร คนธรรณ์ ก็จะเหาะมาเอาไปเสพสังวาส

เมื่อประมาณสามหมื่นปีก่อน พระเวสสันดร พร้อมด้วยพระนางมัทรี และบุตร 2 คนคือ ชาลีกุมาร และ กัณหาชิณากุมารี ถูกเนรเทศจากนคร ได้เดินทางสู่ป่าหิมพานต์ ปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั้น ท้าวสักกะเทวราช ได้เล็งเห็นอันตรายในป่านั้นจึงได้เนรมิตบรรณศาลาสำห รับพระเวสสันดร พระนางมัทรี และกุมารทั้ง 2 ขณะบำเพ็ญอยู่นางมัทรีต้องออกหาผลไม้ในป่านั้น ซึ่งมีดาบส ฤๅษี นักสิทธิ์ วิทยาธร คนธรรพ์ ทั้งหลายอาศัยอยู่ซึ่งยังมีกิเลส เกงว่าจะมาล่วงศีลพระนางมัทรี ท้าวสักกะเทวราช จึงได้เนรมิตต้นมัคคะลีผล เป็นมัคคะบัญชา หรือเป็นต้นไม้แห่งคำสาปของพระอินทร์ จำนวน 16 ต้น ไว้รอบทิศ ณ ที่ไกล ก่อนถึงบรรณศาลา

ว่ากันว่า จริงๆ แล้ว ผลหนึ่งผล ก็คือรุกขเทพธิดาหนึ่งนาง หรือ เมื่อต้นนารีผลออกดอก เสมือนเกิดวิมานแห่งรุกขเทพธิดาขึ้นที่นั่น เมื่อติดลูก ก็คือเทพธิดาจุติลงมาเกิดที่นั่น ความสวยงามสมบูรณ์แห่งผลนารีผล แต่ละผล จึงสวยงามต่างกัน ขึ้นอยู่กับบุญของเทพธิดาแต่ละนางด้วย... เทพธิดาแต่ละนางที่มาเกิดนั้น หาได้ถูกบังคับมาไม่ แต่เป็นผลกรรมที่ต้องมาเกิด

เมื่อเหล่านักสิทธิ์ วิทยาธร เดินทางมาพบเข้า หากจิตใจไม่เข้มแข็งพอ ตบะแตก ก็จักได้เสพบำเรอกับนารีผล... เมื่อตบะแตก ฤทธิ์เสื่อม เหาะไปต่อไม่ได้ ... เมื่อไปต่อไม่ได้ ก็ไม่มีทางจะได้พบกับพระนางมัทรี.... การจะเดินทางต่อ หรือออกไป จำต้องบำเพ็ญเพียรใหม่ ยกระดับจิตขึ้นแล้ว จึงกลับออกมาได้....

แม้ว่า พระเวสสันดร พระนางมัทรี จะเสด็จออกจากป่าเข้าเมืองไปแล้ว ต้นนารีผล ก็ยังคงมีอยู่ในที่นั้น ตราบเท่าทุกวันนี้ ยังมีดอกหอมกรุ่น มีนารีผลห้อยระย้าอยู่ดังเดิม แม้ลูกที่หมดอายุขัยจะร่วงหล่นเหี่ยวเฉาไป ลูกใหม่ก็ขึ้นมาแทนที่ไม่ได้ขาด

บรรณศาลาก็เช่นเดียวกัน ปัจจุบันนี้ยังคงมีอยู่ และจะหายไปพร้อมกับต้นนารีผลเมื่อสิ้นสมัยพุทธก าล

ว่ากันว่า บางครั้ง ฤๅษีที่บำเพ็ญเพียรจนตบะกล้า กิเลสสงบรำงับ เพื่อจะทดสอบจิตตน ก็จะเหาะไปที่ต้นนารีผล มองดูนารีผล ว่าตนจะตบะแตกหรือไม่... หรือบางครั้งฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ อาจจะพาลูกศิษย์ไปทดสอบระดับจิต ไปฝึกควบคุมจิต ที่นั่น ก็มี

และว่ากันว่า พวกนักสิทธิ์วิทยาธร มักจะเหาะไปเก็บนารีผล อุ้มมาเชยชมแล้ว ฝึกจิตใหม่ ค่อยเหาะกลับออกมา

นารีผล เป็นที่ต้องการของสัตว์วิเศษ (คนธรรพ์เป็นต้น) รวมถึงวิทยาธรทั้งหลายผู้ยังไม่หมดกามราคะ ดังนั้น การที่นารีผลจะเหี่ยวแห้งคาต้นแล้วร่วงหล่นนั้น เป็นไปได้ยาก ก่อนจะโรยรา จะมีเทวดา สัตว์วิเศษ และวิทยาธร เป็นต้นมาเก็บเอาไป

หลายคนคงสงสัยว่าทำไมบรรณศาลาถึงมีอายุ ประมาณ 30,000 ปี เนื่องจากถูกเนรมิตสมัยพระเวสสันดร และหลังจากสวรรคต แล้วก็เสวยสุขบนสวรรค์อีก 2 เดือน จึงจุติมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า เวลาในสวรรค์ 1 วันทิพย์ เท่ากับ 400 ปีโลกมนุษ =24000 +2550+79+ นิดหน่อย

ความเชื่อเกี่ยวกับการกำเนิดของพญานาค

นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล นาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้า
     ตำนานความเชื่อเรืองพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย สืบค้นได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เป็นป่าเขาจึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองู

     เป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียกชื่อต่างๆ กัน

    
ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะอยู่ที่อินเดีย ด้วยมีนิยายหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งถือเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน

    ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่ และเมื่อไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อเป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์

     ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี7สี และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช(อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียณสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศรีษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในนำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม

คนจีนกับความเชื่อเรื่องมังกร


ตามความเชื่อของคนจีน การได้ขี่หลังมังกรถือเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของมังกรในคนจีนโบราณ เป็นความเชื่อเก่าแก่ตั้งแต่มนุษย์เริ่มที่จะรู้จักกับสัตว์เลี้อยคลานขนาดยักษ์ และให้ความเคารพยำเกรงดุจเทพเจ้า ซึ่งความเชื่อเหล่านี้มีอยู่ทั่วทุกแห่งหน ทุกชนชาติทั่วทั้งโลกที่มีประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ เช่น ประวัติศาสตร์ของยุคอียิปต์ ประวัติศาสตร์ของยุคกรีก ประวัติศาสตร์ของยุคโรมัน ประวัติศาสตร์ของยุคอินเดีย และประวัติศาสตร์ของยุคจีนซึ่งความเชื่อนี้สืบทอดกันมาตั้งแต่ความเชื่อเรื่องงูขนาดใหญ่ ที่สืบเนื่องยาวนานคู่กับมนุษย์โลกโดยเฉพาะชาวจีนแผ่นดินใหญ่ 
  คนจีนโบราณจะเชื่อกันว่าน้ำลายของมังกรนั้น จะก่อให้เกิดลูกแก้ววิเศษที่เรียกกันว่า "ไข่มุขแห่งดวงจันทร์" และ "ไข่มุขแห่งความสมบูรณ์" จะบันดาลให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แห่งพืชพรรณธัญญาหาร เพาะปลูกสิ่งใดก็จะเจริญงอกงาม และยังเชื่อกันอีกว่าเลือดของมังกรจีนนั้น เมื่อไหลออกจากตัวของมังกรจีนจะแทรกซึมเข้าไปในแผ่นดินจีนและจะกลายสภาพเป็นอำพัน เมื่อมังกรลอกคราบจะทำให้เขาของมังกรเรืองแสงได้ มีพลังในตัวเป็นอย่างมากและส่องแสงสว่างในความมืด คล้าย ๆ กับความเชื่อเรื่องยาอายุวัฒนะของต้นโสม

  คนจีนโบราณนับถือมังกรเป็นเทพเจ้า เชื่อกันว่ามังกรนั้นชอบนกนางแอ่นย่าง ดังนั้นก่อนเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล จึงต้องมีการพลีของถวายให้แก่มังกรเพื่อเป็นการเอาใจและขอให้เดินทางโดยปลอดภัย ตามความเชื่อของนักเดินเรือในสมัยโบราณ ซึ่งว่ากันว่ามังกรนั้น หวาดกลัวใบสนไหม 5 สี ขี้ผึ้งเหล็กและตะขาบ สำหรับไหม 5 สี นี้เป็นความเชื่อมาอย่างช้านานตั้งแต่สมัยโบราณ ในการออกเดิน เรือ ในทะเล คนจีนจะใช้ไหม 5 สี ผูกที่หัวเรือเพื่อเป็นการป้องกันอันตรายจากมังกร ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นความเชื่อเกี่ยวกับ แม่ย่านาง แทน แม่ย่านางของนักเดินเรือชาวจีนคืออมนุษย์เทพเจ้าองค์เล็ก ประจำท้องถิ่นในแต่ละแห่งที่มีความเชื่อเกี่ยวกับการแต่งกายของแม่ย่านาง การผูกไหม 5 สีที่หัวเรือนี้ เป็นการเคารพ แม่ย่านาง หรือ เจ้าแม่ทับทิม (เทพยดาหม่าโจว) คือเทพธิดาในลัทธิเต๋า ที่นักเดินเรือทั้งหลายให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับนายพลเรือเจิ้งเห่อ หรือแต้ฮั้ว ผู้เป็นใหญ่แห่งราชวงศ์หมิง ในยุคสมัยขององค์จักรพรรดิหย่งเล่อ

  มังกรจีนเป็นสัตว์เทพเจ้าที่อยู่บนสรวงสวรรค์ตามความเชื่อของชาวจีน เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของชนชาติจีน ชาวจีนทั่วโลกต่างหยิ่งทะนงในการที่พวกตนนั้น สืบสายเลือดมาจากมังกร (Lung Tik Chuan Ren) ชาวจีนเชื่อกันว่ามังกรนั้นเป็นเทพเจ้าในตำนานที่จะนำมาซึ่งอายุยืนยาว ความเจริญรุ่งเรือง โชคลาภวาสนา และจากสัญลักษณ์ของจักรพรรดิและอำนาจอันยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้ ตำนานมังกรของจีนได้ซึมซาบเข้าไปในวิถีชีวิตของชาวจีนโบราณ และกลายมาเป็นวัฒนธรรมของชาวจีนตราบจนถึงทุกวันนี้ มังกรจีนได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ ความดีงาม และอำนาจบารมี

  มังกรจีนหรือ หลง แสดงถึงพลังอำนาจและคุณงามความดี ความองอาจกล้าหาญ ความเป็นวีรบุรุษและความอุตสาหะพยายาม ความมีคุณธรรมอันสูงส่งและยิ่งใหญ่ดุจดั่งเทพเจ้า มังกรจีนนั้นไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคขวากหนามใด ๆ จนกว่าจะทำในสิ่งที่ต้องการได้สำเร็จ มีความขยันขันแข็ง เด็ดขาด เฉลียวฉลาด มองโลกในแง่ดี และมีความทะเยอทะยาน ซึ่งแตกต่างจากพลังด้านมืดของมังกรตะวันตก มังกรตะวันตกนั้นส่วนใหญ่ขี้หงุดหงิด มีปีก บินและพ่นไฟได้ แต่มังกรตะวันออกจะมีลักษณะสวยงาม เป็นมิตร และมีความเฉลียวฉลาด มังกรจีนถือเป็นเทพเจ้าแห่งทิศบูรพา แทนที่จะถูกเกลียดชังเช่นมังกรตะวันตก มังกรตะวันตกกลับได้รับความรักและเคารพสักการะ วัดและศาลเจ้าถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ความเคารพสักการะบูชาในฐานะผู้ควบคุมฝนแม่น้ำทะเลและมหาสมุทร หลายเมืองในประเทศจีนจะมีเจดีย์ซึ่งชาวจีนจะมาเผาเครื่องหอมเพื่ออ้อนวอนต่อมังกร ศาลเจ้ามังกรดำซึ่งตั้งอยู่ใกล้กรุงปักกิ่งถูกสงวนไว้เฉพาะมเหสีของจักรพรรดิเท่านั้น

  ชาวจีนจะมีการบวงสรวงมังกรเป็นพิเศษที่นี่ทุกวันที่ 1 และ 15 ของทุกเดือน ศาลเจ้าและแท่นบูชามังกรยังคงปรากฏให้เห็นตามชายฝั่งทะเลและริมฝั่งแม่น้ำในหลาย ๆ ของจีนและส่วนของดินแดนตะวันออกไกล เพราะมังกรจีนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในน้า โบสถ์กลางน้ำในประเทศญี่ปุ่นกลายมาเป็นแหล่งแวะพักที่ได้รับความนิยมของผู้แสวงบุญซึ่งสวดอ้อนวอนต่อมังกร ตำนานของชาวจีนตำนานหนึ่งบันทึกไว้ว่า มังกรจีนเพศผู้และเพศเมียเคยแต่งงานกับมนุษย์และลูกหลานของมังกรจีนก็กลายมาเป็นผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จักรพรรดิญี่ปุ่นที่ชื่อ ฮิโรฮิโตะ สืบสาวต้นตระกูลของตนเองย้อนหลังไปจนถึง 128 รุ่น ซึ่งก็คือ เจ้าหญิง Fruitful Jewel ลูกสาวของราชามังกรแห่งท้องทะเลลึก จักรพรรดิของหลายประเทศในเอเชียอ้างว่าตนเองก๋มีบรรพบุรุษเป็นมังกร ซึ่งก็ทำให้มีความคิดที่ว่าทุกสิ่งที่ใช้จะต้องประดับด้วยมังกรเช่น บัลลังก์มังกร เสื้อคลุมมังกร เตียงมังกร เรือมังกร การที่ชาวจีนถือว่าจักรพรรดิเป็นมังกรเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ชาวจีนมีความเชื่อว่าจักรพรรดินั้นสามารถทำให้ตนเองกลายเป็นมังกรได้

  ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมังกรจีนล้วนให้ความสุขความเจริญ ในทุก 12 ปี จะมีปีมังกรซึ่งยังให้เกิดความโชคดี โชคลาภวาสนาโหรตะวันออกในปัจจุบันอ้างว่าเด็กที่เกิดระหว่างปีมังกรจะมีสุขภาพดีและอายุยืนยาว เคยมีมังกรที่ชาญฉลาดมาเป็นที่ปรึกษาให้กษัตริย์ สามร้อยปีที่ผ่านมา กษัตริย์กัมพูชาใช้เวลาตอนกลางคืนอยู่ในหอคอยทอง ที่ซึ่งเขาจะได้ขอความเห็นกับผู้ปกครองที่แท้จริงของแผ่นดินแห่งเก้ามังกร (Land of Nine-Headed Dragon) มังกรจีนนั้นเชื่อในความคิดของตนมาก ถึงแม้ว่าจะสุขุม รอบรู้ แต่มังกรจีนจะรู้สึกว่าถูกดูถูกถ้าหากผู้ปกครองไม่ทำตามคำแนะนำ หรือประชาชนไม่คิดว่ามังกรจีนสำคัญ มังกรจะหยุดสร้างฝนและทำให้แผ่นดินแห้งแล้ง หรือน้ำท่วม มังกรที่ตัวเล็กกว่าจะแกล้งทำให้เกิดความเสียหายต่าง ๆ นานาอย่างเช่นหลังคารั่วหรือข้าวเหนียว ชาวจีนจะจุดประทัดและถือมังกรกระดาษขนาดใหญ่ในขบวนแห่ที่จัดขึ้นเป็นพิเศษ และจัดการแข่งขันเรือมังกรในลำน้ำเพื่อทำให้มังกรของพวกเขาพอใจ

  มังกรกลายมาเป็นส่วนสำคัญของชีวิตของผู้คนชาวจีน ในรูปของเทพเจ้าจากสรวงสวรรค์ อย่างที่ชาวโลกได้รู้จักกันเป็นอย่างดีคือ Sheng Chi มังกรจีนคือผู้ที่ยอมสละชีวิตและพลังของตนออกมาในรูปของฤดูกาลของชาวจีนแผ่นดินใหญ่ มังกรจีนเป็นผู้นำน้ำมาจากฝน ความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ สายลมจากทะเลและผืนดินจากโลก มังกรเป็นตัวแทนของพลังที่ยิ่งใหญ่แห่งธรรมชาติ พลังอำนาจสูงสุดของโลก บางครั้งเราอาจพบมังกรจีนในรูปสัญลักษณ์ของเทพเจ้าแห่งการปกป้องและคุ้มครอง พวกมันถูกยกย่องให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งมวล พวกมันมีสามารถอาศัยอยู่ในทะเล บินขึ้นไปถึงสวรรค์ และขดตัวบนพื้นดินในรูปของภูเขา ในหมู่ของสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายทั้งหลาย มังกรสามารถปัดเป่าวิญญาณที่ชั่วร้าย ปกป้องผู้บริสุทธิ์และทำให้ผู้ที่ถือเครื่องหมายของพวกมันรอดพ้นจากพยันตรายต่างๆ นานาได้ มังกรจีนถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์แทนความโชคดีสูงสุด

ตำนานนางเงือก



นางเงือก (mermaid) เป็นสัตว์โลกอยู่ในทะเลในจินตนาการ มีศรีษะและลำตัวท่อนบนเป็นผู้หญิงสวย ท่อนล่างเป็นปลา ภาษาเยอรมันเรียกนางเงือกว่า meerfrau และเดนมาร์กคือ maremind

      โจนส์ระบุว่านางเงือกคือเทพธิดาแห่งทะเล มักปรากฏตัวขึ้นเหนือผิวน้ำ มือหนึ่งถือหวีสางผม มือหนึ่งถือกระจก มีลักษณะคล้ายไซเรน (siren - ปีศาจทะเล ครึ่งมนุษย์ผู้หญิง ครึ่งนก มีเสียงไพเราะมาก ล่อลวงคนไปสู่ความตาย ในนิทานปรัมปราของกรีก)

       แต่เดิมนางเงือกอาจจะเป็นธิดาของพวกเคลต์ (ชาวไอริชโบราณ) นอกจากนี้ตำนานเกี่ยวกับนางเงือกมาจากเรื่องเล่าของพวกกะลาสีด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับความหายนะของมนุษย์ (Jobes 1961: 1093) แต่โรสกล่าวว่า บางครั้งนางเงือกก็ให้คุณต่อมนุษย์ มนุษย์ที่ช่วยเหลือนางเงือกมักได้รับความรู้เรื่องสมุนไพรรักษาโรคซึ่งเยียวยาไม่ได้แล้ว ได้ของกำนัล หรือนางเงือกช่วยเตือนให้ระวังพายุ (Rose 1998: 218)

        บางครั้งนางเงือกก็ได้รับสมญานามว่าพรหมจารีแห่งทะเล มีลักษณะสวยงาม กระจกของนางเงือกคือสิ่งที่แทนวงพระจันทร์ และผมที่สยายยาวคือสาหร่ายทะเล หรือรังสีบนผิวน้ำ (Jobes 1961: 1093) แต่บางครั้งก็กล่าวว่ากะลาสีเรือเดินทางไปในเรือนานๆเข้า ไม่ได้เห็นผู้หญิงเลยก็เกิดภาพหลอนขึ้นมา นั่นคือนางเงือกไร้ตัวตนอย่างสิ้นเชิง แต่พวกเดินทางทางเรือเกิดจินตนาการเพราะว้าเหว่คิดถึงครอบครัว

       
ในอดีตการเล่าขานตำนานของเงือกส่วนมากจะคล้ายๆกันคือสาวน้อยที่โผล่พ้นน้ำด้วยท่อนบนเปลือยเปล่าแต่ท่อนล่างที่อยู่ใต้น้ำนั้นเป็นปลาในวรรณคดีไทยก็กล่าวถึงเงือกไว้ว่าเป็นสาวงามที่สวยสะอาด ท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนร่างเป็นปลามีประทุมถันอวบและที่สำคัญเป็นเอกของเรื่องพระอภัยมณีเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมดและกำเนิดสุดสาครตัวเอกของเรื่อง(ตกลงจะเล่าเรื่องอะไรกันแน่ )

      เงือกเป็นปริศนาเล้นลับหลายศรรตวรรษที่ผ่านมามีเรื่องเล่าขานกันว่าถ้าบนบกมีสัตว์ที่ครึ่งคนครึ่งม้า(เซนทอร์ไง) ในน้ำก็ต้องมีครึ่งคนครึ่งปลาข้อสรุปนี้อาจเป็นสมมุติฐานที่เลื่อนลอยแต่เราเคยพบปลารูปร่างหน้าตาเหมือนหมู แต่ไม่ได้หมายความว่าในน้ำมีหมูอยู่จริงนี่.. 

      หลักฐานที่พบจากหนังสือพิมพ์เซ้าแอฟริกัน ฟรีเทอร์เรียนิวส์ ฉบับวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1977 รายงานว่ามีคนพบเงือกตนหนึ่งขึ้นมาเหนือน้ำขณะที่ทะเลคลั่งและท้องฟ้ามีแต่ดาวมีร่างท่อนบนเป็นหญิงสาวแสนสวยลอยเหนือผิวน้ำสักพักก็จมหายไปแต่เห็นมีส่วนที่คล้ายหางของปลาชูขึ้นแล้วจมหายลงไปในทะเล

      ตามตำนานเกี่ยวกับเงือกนั้นกล่าวไว้ว่าเทพโอนเน่ส์เทพเจ้าแห่งท้องน้ำเทพเจ้าแห่งแสงสว่างและสติปัญญามีบุตรสาว และบุตรชาย ที่มีรูปร่างคล้ายปลา ให้ดูแลท้องน้ำในมหาสมุทรและปกครองทะเลทั้งหมด เรื่องนึงที่น่าประหลาดเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1608 มีคนพบคนครึ่งปลากลุ่มใหญ่ออกมาปิดปากถ้ำที่เซ็นไอเว่ส์แถบชายฝั่งเบ็นโอเวอร์เนื่องจากเรือหลายลำได้รับคำสั่งให้ไปจับคนนอกศาสนาหรือเหล่าเพแกนมาทำโทษและจัดการฆ่าทิ้งศพลงทะเล เหตุการณ์นี้ยังเป็นที่งุนงงมาถึงปัจจุบันว่าจริงหรือไม่

      บางตำนานก็กล่าวไว้ว่าเงือกคือปีศาจที่คอยทำให้นักเดินเรือหลงทางและเรืออัปปรางในที่สุดก็จมสู่ก้นมหาสมุทร เธอจะอยู่บนผาหินคอยหวีผมและร้องเพลงทำให้นักเดินเรือเคลิ้มด้วยเสียงและท่าทางที่ยั่วยวนของเธอทำให้หลงทิศทางและพอเรือเข้ามาใกล้เสียงเพราะเพราะที่ได้ยินนั้นก็กลับกลายเป็นเสียงหวีดร้องที่โหยหวนน่ากลัวแล้วเงือกก็จะจมเรือเหล่านั้นลง

      หลักฐานอีกอย่างที่สนับสนุนเรื่องเงือกมีจริงเมื่อปี1685ได้มีชาวประมงพบซากสัตว์ที่ดูคล้ายคนครึ่งปลานอนตายเกยชายฝั่งของฟิลิปปินไปทางตะวันตก และ ปี 1741ได้มีคนพบซากของปลามีหัวเป็นคนที่ฝั่งทางตอนใต้ของออสเตเรีย แต่ที่สำคัญเมื่อ ปี 1985 ได้มีคนค้นพบปลาชนิดหนึ่งมีหัวคล้ายๆหน้าของมนุษย์ตัวเป็นปลาต่อมาได้ให้ชื่อปลาชนิดนี้ว่า HUMANFISH

คุณสมบัติของนางเงือก

บางตำนานกล่าวถึงนางเงือกว่าเสียงของนางเงือกจะใสกังวาลและชักนำพากลาสีเรือแตกลงสู่ห่วงน้ำวงใต้ทะเล

บางตำนานกว่าวว่า เสียงของนางเงือกไพเราะและขับร้องพาเรือลงสู่วังน้ำวน

บางตำนานกล่าวว่า นางเงือกเป็นแค่ปล่าพยูน แต่ข้อนี้ตัดทิ้งไปได้เพราเราคิดว่าคงไม่มีทางมองพยูนเป็นคนได้หรอก

บางตำนานกล่าวว่า น้ำตาของนางเงือกจะเป็นไข่มุกแมพลังในการคุ้มครองจากปีศาจร้าย

บางตำนาน (รุ้สึกจะหลายที่แต่จำไม่ได้ว่ามาจากไหนบ้าง -*-) มงกุฏของนางเงือกทำมาจากใบไม้ใต้ท้องทะเลมีพลังในการฝื้นพลังและรักษา

นางเงือกสามารถว่ายรวมกันเพื่อสร้างน้ำวนได้ และยังสามารถทำให้เรือจมลงได้

บางตำนานยังกล่าวว่านางเงือกเป็นธิดาของโพไซดอนอีกด้วย

ปริศนา 49 วัน ชีวิตหลังความตาย



มนุษย์และสัตว์มิได้สิ้นสุดที่ความตาย เพราะการ “ตาย” หมายถึงสภาพร่างกายที่ไม่สามารถให้บริการแก่จิตวิญญาณใช้งานต่อไปได้อีก วิญญาณยังคงอยู่ ถึงแม้ร่างกายจะหมดอายุขัยไปแล้ว ทั้งนี้สภาพการตายจะ บ่งบอกให้รู้ว่าจิตวิญญาณนั้นไปสุคติหรือลงสู่นรกภูมิ


1. ตอนตายใหม่ ถ้าหากสีหน้าปกติร่างกายอ่อนนิ่มสีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่เนื่องจากได้บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ

2. ตอนตายใหม่ๆ หน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว

3. ตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัวเพราะความตกใจบางคนจะกรีดร้องเสียคล้ายสัตว์คนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นสัตว์

4. ชนิดสังเกตได้จากตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปาก เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทางเมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้จะเกิด เป็นสัตว์ 4 ประเภท

- ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตายดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่)

- หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตายหูจะชันขึ้นจะไปเกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย

- จมูก ชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนันชื่อเสียงลาภยศ และค่านิยมที่ผิดศีลธรรม ฯลฯ จะไปเกิดเป็นแมลง มด ยุง แมลงวัน ฯลฯ บาปหนักมากวิญญาณ จึงถูกตีเป็นเศษวิญญาณ

- ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสีด่าคำหยาบคาย คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอดจะเกิดเป็นสัตว์น้ำไปอยู่กับรสชาติที่โสโครก และสกปรก



เมื่อออกจากร่าง วิญญาณจะไปที่ไหน?
     ดวงวิญญาณที่ออกจากร่างในตอนแรกจะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น พอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณของมนุษย์หรือสัตว์ที่ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลก เพื่อ ตรวจสอบบาปบุญความดีความชั่ว

     ในขณะที่มีชีวิตอยู่วิญญาณบาปจะถูกนำตัวส่งไปนรก 8 ขุมใหญ่ แต่ละขุมแบ่งย่อยขุมละ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีการลงทัณฑ์และทรมานอีก 800 ด่าน แต่ละด่านมีเครื่อง ทรมานนับไม่ถ้วน วิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั้ง 8 ขุมเลยก็มี

     โดยเฉพาะคนที่ทำกรรมชั่วมหันต์หรือเรียกว่า “อนันตริยกรรม” มีอยู่ 5 อย่าง คือ 1.ฆ่าพ่อ 2.ฆ่าแม่ 3.ฆ่าพระอรหันต์ 4. ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก 5. ทำร้ายพระพุทธเจ้าห้อเลือด


มาดูปรากฏการณ์ 49 วัน ชีวิตหลังความตาย

     หลังจากที่คนเราตายประมาณ 1-2 วัน ปกติแล้วเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย 7 วันให้หลังเขาจึงรู้ว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วันเพื่อรอพิจารณาคดี ใน ระหว่างนั้นผู้ตายก็กำลังรอบุญกุศลจากลูกหลานทางโลกที่กำลังง่วนอยู่กับงานศพ

    ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่างชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้นเปิดฉากขึ้นในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพังเท่านั้นไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่บาปกับบุญเท่านั้น

    เจ็ดวันรอบแรก วิญญาณผู้ตายต้องเดินผ่านดงหมาป่า ซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทาง เมื่อวิญญาณบาปไปถึงก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไป ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้น ก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัวกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา

    ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี 49 วันหลังความตาย เมื่อมาถึงดงหมาป่า ก็จะมีหมู่เทวะทูต คอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ่งเฉยไม่กล้าทำอะไร จึงผ่านไปได้โดยปลอดภัย

     เจ็ดวันรอบที่สอง เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผีเจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่านเมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานีและยังมีพวกเจ้ากรรมนายเวรพากันมาทวงหนี้ เวลานั้น ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดีเมื่อมาถึงด่านประตูผี จะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัย

    เจ็ดวันรอบที่สาม เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรมยามมีชีวิตทำชั่วอะไรภาพก็จะ ปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติเสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษ

    ถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิดตอนนี้ แต่ก็สายเสียแล้ว ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงจะได้รับการต้อนรับ มีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุมต่างๆและพาไปดู สภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิด

    เจ็ดวันรอบที่สี่ เมื่อมาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทองการจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงาย เผาส่งไปให้ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์

    เจ็ดวันรอบที่ห้า วิญญาณผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม ได้เห็นลูกหลานคนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตายของตนถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีกได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์

    เจ็ดวันรอบที่หก เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านคุมบัญชียมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญ ที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิตหลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะ ให้ไปเกิดยังสุคติภูมิ ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา

   เจ็ดวันรอบที่เจ็ด เมื่อวิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่าผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่ ถ้าได้ถือศีลกินเจละเว้นจากการฆ่า สัตว์ก็จักลหุโทษ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว 

     ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิตอยู่นั้นเร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้นไม่ใช่สิ่งลวงโลกตอนนี้ท่านอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็น กฎแห่ง กรรมนั้นเป็นเรื่องจริงขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท

ข้อห้าม สำหรับผู้สักยันต์และผู้มีอาคม



ห้ามลอดราวผ้า เนื่องจากราวผ้านั้นเป็นที่รวมเสื้อผ้าของหญิงชายที่นำไปซักแล้วเอามาตากจึงมีทั้งผ้าซิ่น หรือกางเกง ถือว่าเป็นของต่ำ หากผู้ที่ถือคาถาไปลอดจะทำให้ของที่ถืออยู่เสื่อม

ห้ามกินของเหลือ เช่น อาหารที่เหลือทิ้งไว้ หรือกินทีหลังเขา คนถือวิชามักจะต้องทานก่อนเสมอ

ห้ามกินผักปลั๋ง เพราะผักชนิดนี้มีผิวมันลื่น เชื่อว่าคาถาที่ถือจะลื่นไหล ไม่มั่นคง ไม่แข็งแรง

ห้ามกินฟักเขียว เพราะมีลักษณะคล้ายนมผู้หญิง แม้แต่ลอดร้านไม้ที่ปลูกก็ไม่ได้

ห้ามกินมะเฟือง หรือแม้แต่ลอดใต้ต้นมะเฟือง เพราะลูกมะเฟืองมีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศหญิง

ห้ามลอดต้นกล้วย ที่ใบกล้วยปกเคลือกล้วยหรือปลีกล้วย ก็เชื่อว่าคาถาจะเสื่อมเช่นกัน

ห้ามกินข้าว กินน้ำงานศพ หรือแม้แต่ดมไอกับข้าวงานศพก็ไม่ได้

ห้ามลอดเงา ปราสาทศพ

ห้ามลอดสายผ้าเต้นท์คลุมปราสาทศพ

ห้ามลอดใต้ถุนบ้าน อันนี้แล้วแต่บางคนถือหรือไม่ถือ บางคนถือจริงจังถึงกับต้องยอมเสียเวลาเดินอ้อมบ้านเลยก็มี เกี่ยวกับเรื่องการลอดใต้ถุนบ้าน

     คนโบราณมักจะทำบ้านใต้ถุนสูงเพราะกันน้ำท่วม และเพื่อความเย็นสบายในเวลากลางวันและกลางคืน บนบ้านจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยหลับนอนเท่านั้น แต่ใต้ถุนจะเป็นที่เก็บข้าวของทางการเกษตร หรือเลี้ยงสัตว์ 

     แต่ถ้าในปัจจุบันสภาพบ้านเมืองมันเปลี่ยนแปลงไป บ้านใต้ถุนสูงไม่นิยมสร้างกันนิยมหันไปสร้างบ้านตามแบบสถาปัตยกรรมตะวันตกไปเสียหมด มีตึก มีอาคารที่มีการสร้างสองสามชั้นขึ้นไป ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นสถานที่ราชการหรือที่ ๆ จะต้องติดต่อธุระเป็นส่วนใหญ่ 

     แล้วคนที่ถือคาถาจะทำอย่างไรในเมื่อลอดไม่ได้ ขอขยายประเด็นตรงนี้นะครับ บ้านไม้ยกใต้ถุนสูงในสมัยก่อน ระหว่างใต้ถุนกับชั้นบนจะต้องคั่นกลางด้วยแป้นไม้เป็นแผ่น ๆ ยาว ๆ เป็นตัวกั้นเพื่อเป็นที่รองรับอาศัยน้ำหนักของคนบนบ้าน

 
    แต่! การปูแป้นไม้สมัยก่อนจะไม่ปูชิดสนิทกันดี เหมือนการปูพื้นปาเก้ จะปูห่างกันไห้ว่างเป็นช่องแคบ ๆ สลับกันไปท่านที่เคยเห็นบ้านไม้สมัยก่อนคงนึกออก เพื่อกวาดเอาเศษฝุ่นบนบ้านให้ตกลงไปตามช่องแคบ ๆ นี้

     และเพื่อเป็นที่ระบายอากาศจากข้างล่างด้วย ถือเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านเพราะสภาพอากาศเมืองไทยเป็นเมืองร้อนชื้น เศษฝุ่นบนบ้านนั้นแน่นอนต้องมาจากเท้าของเราอยู่แล้ว ดังนั้นที่ท่านไม่ให้ลอดใต้ถุนบ้านก็เพราะกลัวว่าเศษฝุ่นจากเท้าของคนบนบ้านจะปลิวตกลงมาใส่หัวเรา

     นี่เป็นสาเหตุของข้อห้ามนี้และถ้าถามว่าปัจจุบันเราต้องลอดอาคาร หลาย ๆ ชั้นจะเป็นยังไง เรียนเหมือนข้างต้น ว่าอาคารปัจจุบันไม่ได้ไช้แป้นไม้ทำแล้ว


    แต่ใช้ซีเมนต์เทหนาหลายคืบหลายศอกนัก จึงเป็นไปไม่ได้ที่เศษฝุ่นจากเท้าคนที่อยู่ข้างบนมันจะตกทะลุมาลงบนหัวเราได้ จึงไม่ต้องไปกังวลในเรื่องการลอดใต้ถุนอาคารและใต้ถุนบ้านในปัจจุบันเลย
ห้ามให้ใครมาจับหัว ลูบหัว

ห้ามเคี้ยวใบพลู โดยไม่เด็ดปลายออก

ห้ามถ่มน้ำลายลงชักโครก หรือ คอห่าน เพราะจะทำให้อำนาจคาถาที่เราท่องบ่นหายไปไม่วาจาสิทธิ์

เทพประจำวันเกิด



ทุกๆคนเกิดมาล้วนมีเทพประจำตัวมาตั้งแต่เกิด ใครเกิดวันไหนแล้วมีเทพประจำวันเกิดคือใครมาดูกันเลยค่ะ

วันอาทิตย์ เทพเจ้าแห่งการแพทย์ , สง่างาม , มีเกียรติ , ตรงต่อเวลา , มีเสน่ห์

วันจันทร์   เทพเจ้าแห่งคุณไสย , รักสวยรักงาม , โอบอ้อมอารีย์ , ชอบสังสรรค์

วันอังคาร  เทพเจ้าแห่งสงคราม นักวางแผน,ใจบุญ,ชอบโลดโผน,จอมเจ้าชู้

วันพุธ       เทพเจ้าแห่งการพูด , นักขาย , นักประพันธ์ , นักพูด , นักร้อง

วันพฤหัสบดี  จ้าวแห่งเทพ นักค้นคว้า , นักเขียน ,นักออกแบบ ,นักเทศน์,นักพูด

วันศุกร์      เทพเจ้าแห่งความงาม และศิลปะ

วันเสาร์     เทพเจ้าแห่งการกสิกรรม , สันโดด, กระตืนรือร้น , มานะอดทน

ฮูดู ความเชื่อทางไสยศาสตร์



ฮูดู คือความเชื่อทางไสยศาสตร์แขนงหนึ่ง ซึ่งผสมผสานระหว่างความเชื่อทางไสยศาสตร์พื้นบ้านของชาวแอฟริกันกับความเชื่อของชาวอเมริกัน โดยมีพื้นฐานมาจากความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรและธรรมชาติของแอฟริกันโบราณ

      ความเชื่อแขนงนี้แพร่สู่ประเทศสหรัฐอเมริกาผ่านทางทาสชาวแอฟริกันตะวันตกในรูปแบบของเครื่องราง เวทมนตร์คาถาทั้งเพื่อการรักษา ป้องกันเคราะห์ อวยพร ตลอดจนสาปแช่ง

      เครื่องรางที่เป็นเอกลักษณ์ของความเชื่อแขนงนี้คือ โมโจ (Mojo) มีลักษณะเป็นถุงใส่สมุนไพร รากไม้ เศษกระดูกหรือชิ้นส่วนเล็กๆของสัตว์ เหรียญ หินต่างๆ ตลอดจนวัสุอื่นๆ ที่เชื่อว่ามีพลังพิเศษ

     ฮูดู นั้นเป็นเพียงแค่ความเชื่อทางไสยศาสตร์ที่ประยุกต์เอาความเชื่อต่างๆ ในแอฟริกา ซึ่งรวมถึงความเชื่อของศาสนาวูดูด้วย มาประยุกต์เข้ากับความเชื่อพื้นบ้านของชาวอเมริกัน

     ฮูดูใช้วัตถุตามธรรมชาติทั้งเพื่อสาปแช่งและรักษาผู้ป่วย และในเพลงบลูส์ของอเมริกาจำนวนมากล้วนมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับฮูดูแทรกปนอยู่ด้วย

     แม้ว่าความเชื่อแขนงนี้ไม่เป็นที่รู้จักมากนักในประเทศไทย แต่ในปี พ.ศ. 2548 ภาพยนตร์เรื่อง Skeleton Key ที่นำเข้ามาฉายในชื่อไทยว่า "เปิดประตูหลอน" ก็ทำให้มีผู้รู้จักฮูดูเพิ่มขึ้น เนื่องจากเนื้อหาของภาพยนตร์มุ่งเน้นไปที่การใช้เวทมนตร์คาถาของฮูดู

ตำนานช้างเผือกไทย

ในตำนานพุทธประวัติ กล่าวว่าช้างเผือกนั้นคือสัญลักษณ์แห่งความรู้ และ การเกิด คืนก่อนวันประสูติของพระพุทธเจ้า พระมารดาของพระองค์ทรงสุบิณท์ ถึงช้างเผือก มอบดอกบัวให้พระนาง ดอกบัวอันหมายถึงความบริสุทธิ์และความรู้
ตำนานไตรภูมิ มีบทหนึ่งกล่าวถึงช้างเผือกว่า:
" มหาราชมีครบซึ่งสิ่ง ๗ ประการ ภริยาที่สมบูรณ์ ขุมสมบัติคณานับ ผู้ปรึกษาแผ่นดินที่ดี ม้าที่วิ่งเร็ว กฎการปกครองที่ดี แก้วแหวนอันเป็นสิ่งสำคัญ และช้างเผือกที่สง่างาม"

     เชื่อกันว่าช้างเผือกมีอิทธฤทธิ์เหนือช้างสามัญ ว่ากันว่ามีพลังดุจเทพแห่งสงคราม สำหรับกษัตริย์ของ ประเทศไทยและพม่าแล้ว การได้ครอบครองช้างเผือก เป็นอะไรที่สำคัญยิ่ง องค์ใดที่มีช้างเผือกหลายตัว จะเป็นกษัตริย์ ที่เกรียงไกร และจะนำพาบ้านเมืองสู่ความรุ่งโรจน์ หากช้างเผือกสิ้น ก็เป็นลางบแกเหตุเภทถัยแก่ ตัวกษัตริย์และแผ่นดินที่ปกครอง

     ราชันย์ในยุคก่อนจึงมุ่งมั่นที่จะได้ช้างเผือกมาอยู่ในความครอบครอง องค์ใดมีมากตัวก็สามารถให้ราชาเมืองอื่นเป็นของขวัญ เพื่อความเป็นมิตร ในบางคราก็มีการก่อสงครามแย่งชิงช้างเผือกก็มี

ในประเทศไทย ช้างเผือกเคยเป็นสัญลักษณของประเทศ เพราะเชื่อว่าสัตว์ชนิดนี้ศักดิ์สิทธิ์

ตำนานเสือสมิง อาถรรพ์ศาสตร์มืด

เป็นตำนานที่กล่าวขานกันมาแต่นมนาน ถึงความน่ากลัวของศาสตร์อาถรรพ์ ที่มีปรากฏเกิดขึ้นว่า เสือที่ดุร้ายและมักชอบจับคนกินเป็นอาหาร

      เมื่อกินคนมากเข้าวิญญาณคนที่เสือกินเข้าไปนั้น ก็อยู่สิงสู่ในกายเสือ ทำให้เสือตัวนั้นมีความเป็นอาถรรพ์ ที่สามารถจำแลงแปลงกายบิดเบือนตนเสือให้กลายเป็นใครต่อใครก็ได้ เพื่อเที่ยวหลอกล่อคนที่เป็นเหยื่อให้หลงกล ทำให้จับกินได้ง่ายขึ้น ครั้นยิ่งกินคนมากขึ้น วิญญาณก็ยิ่งสิงสู่ในตัวเสือมากเข้าเท่าใด เสือตัวนั้นก็ยิ่งมีฤทธิ์มีอำนาจมากขึ้นเป็นทวีคูณ
    ในช่วงสมัยนั้นก็มีวิชาที่คล้ายกันอีกอย่างหนึ่ง คือวิชาแปลงร่างเป็นจระเข้ ซึ่งเรื่องนี้ ถ้าสนใจก็ลองค้นในประวัติและเรื่องราวของหลวงปู่สุข วัดมะขามเฒ่า อยุธยา ดูก็จะเห็นความใกล้เคียงในเรื่องความเป็นไป เรื่องของวิชาแปลงร่างนี้ ก็มีปรากฏในเรื่องขอกสินดิน

     แต่โดยเฉพาะวิชาเสือสมิง และวิชาจระเข้แปลงรูปนี้ ได้สาบสูญไปแล้ว เพราะที่จริงวิชาอย่างนี้ที่สุดแล้วให้โทษมากกว่าให้คุณครับ ปัจจุบันคณาจารย์ หรือผู้เรียนอาคม มักนิยมปลุกเรียกเสือ ลงเครื่องรางมากกว่า เรียกลงคน


      ซึ่งเรื่องความเป็นมาของเสือมิใช่มีแต่เสือมันกินคนแล้วมันจะกลายเป็นเสือสมิงได้เท่านั้น มีอีกอย่างที่ทำให้เกิดความเป็นเสือสมิง คือ พวกที่เรียนวิชาเสือ คือการเรียกเอาวิญญาณเสือนั้นมาเข้าสิงในตน ผนวกกับคนผู้นั้นร่ำเรียนอาคมในทางเดรัจฉานวิชาด้วย เมื่อนานเข้า เกิดการรวมตัวในทั้งสองเรื่องที่กล่าว คือ ทั้งวิชาเรียกเสือ และอาคม ทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นเสือสมิง ครั้นเสือตนนี้ได้ไปกินคนเข้า ก็กลายเป็นเสือสมิงโดยสมบูรณ์
      มีเรื่องเล่าขานและค่อนข้างดังมาก เมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่แล้ว และดูเหมือนว่า กลายเป็นข่าวลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ที่ยักษ์ของประเทศ ว่า มีชาวบ้านทางภาคเหนือได้รับความเดือดร้อนที่ว่า มีเสือตัวใหญ่เข้าไปทำร้ายคนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งนั้น เป็นที่หวาดกลัวแก่ชาวบ้านมาก จึงได้ไปขอความคุ้มครองจากทหารหน่วย ตชด. เพื่อเข้ามาดูแลความปลอดภัยภายในหมู่บ้าน ฝ่ายทหารหน่วย ตชด. จึงส่งกำลังเข้าไปคุ้มครองและได้ล่าเสือตัวนั่นไปในตัว

      กลางดึกคืนหนึ่งนั้นฝ่าย ตชด. ได้จัดกำลังตรวจตราหน่วยหนึ่ง และส่วนที่เหลือก็เข้าที่พัก บนศาลาที่จัดกันไว้ เป็นที่พักผ่อนนอนหลับ และในตอนดึกคืนนั้น ศาลาที่หน่วย ตชด. พัก เกิดสั้นไหวโยกเอน เมื่อทหารที่นอนตื่นกันลุกขึ้นมาดู กลับเห็นเสือโคร่งขนาดใหญ่ พิงสีตัวอยู่ที่โคนเสาศาลา ทหารกำลังหน่วยนั้นได้ยิงใส่เสือโคร่งใหญ่นั้น ทำให้เสือตัวนั้น บาดเจ็บและหายไปในความมืดนั้น ครั้นรุ่งเช้า หน่วยทหารจึงทำการติดตามแกะรอยเลือดเสือตนนั้นไป

     จากการติดตามรอยเลือดนั้นผลปรากฏว่า รอยเลือดนั้นไปสิ้นสุดที่หลุม เนินดินแห่งหนึ่ง แล้วไม่ปรากฏรอยเลือดนั้น ไปทางไหนอีก ทหารที่ติดตามนั้นเห็นเนินดินแล้วจึงตัดสินใจในความสงสัยกันบางอย่าง จึงขุดหลุมเปิดเนินดินนั้น เมื่อขุดไปลึกพอประมาณ ก็ต้องอึ้งกันไปทั้งหมด เพราะสิ่งที่เห็นในหลุมนั้นปรากฏว่า เป็นศพผู้ชายคนหนึ่งแต่ตัวท่อนล่างนั้นเป็นสภาพของเสื่อลายพาดกลอน ดูเหมือนว่า เป็นการกลายร่างจากเสือเป็นคนที่ยังไม่สมบูรณ์นั้นเอง จากการถามที่มาของศพชายผู้นี้ ได้ความว่า เป็นคนในหมู่บ้านย่านนั้น และสาเหตุที่ตายเพราะผิดผี จึงตาย ประเด็นน่าสนใจอยู่ที่ว่า ชายผู้นี้ผิดผีอะไร อย่างไร ซึ่งหนังสือนั้นมิได้กล่าวถึง จึงยากต่อการวิเคราะห์ได้